รวมภาพเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 รวมข่าว รวมภาพพันธมิตร 7 ตุลาคม 2551 ภาพ 7 ตุลาทมิฬ ภาพตำรวจยิงแก๊สน้ำตา จราจลที่หน้ารัฐสภาพ ภาพผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ 7 ตค.51 ตำรวจสลายผู้ชุมนุมหน้ารัฐสภา ข่าวจากไทยรัฐ ข่าวเดลีนิวส์ ภาพจาก CNN ภาพจาก BBC ข่าวจาก manager online ข่าวจากเว็บผู้จัดการ

เหตุการณ์ความวุ่นวายถึงขั้นนองเลือด เกิดขึ้นหลังจากที่กลุ่มชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) จำนวนหนึ่ง ได้เคลื่อนขบวนจากทำเนียบรัฐบาลไปปิดล้อมรัฐสภา เพื่อขัดขวางไม่ให้รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นทางการ จนเกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับกลุ่มชุมนุมพันธมิตรฯ เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายทั้งฝ่ายตำรวจและกลุ่มชุมนุมนั้น

กลุ่มชุมนุมพันธมิตรฯ บุกปิดล้อมรัฐสภา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเมื่อเวลา 21.30 น. คืนวันที่ 6 ต.ค. กลุ่มชุมนุมพันธมิตรฯประมาณ 5,000 คน นำโดยนายศิริชัย ไม้งาม แกนนำ พธม.รุ่น 2 พร้อมด้วยนายสาธิต แก้วหวาน และนายสำราญ รอดเพชร ได้ชุมนุมเดินขบวนจากลานพระบรมรูปทรงม้ามาปิดล้อมรัฐสภาด้วยการปิดประตูทางเข้าออกทั้ง 3 ประตู โดยมีรถบรรทุกที่ดัดแปลงเป็นเวทีปราศรัย 2 คันจอดขวาง และมีการวางลวดหนามกั้นทั้งถนนราชวิถี ถนนพิชัย แยกอู่ทองใน ต่อมาเมื่อเวลา 23.15 น. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม เรียกประชุม ครม.ฉุกเฉิน ที่สนามบินดอนเมือง เพื่อหารือสถานการณ์การชุมนุม ก่อนจะมีคำสั่งเมื่อเวลา 01.45 น. ของวันที่ 7 ต.ค. ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังเปิดทางเข้าออกรัฐสภา ด้านถนนราชวิถี เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาเข้าร่วมประชุม เพื่อรับฟังการแถลงนโยบายของรัฐบาล ตามที่นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา ได้เชิญประชุมในเวลา 09.30 น. วันที่ 7 ต.ค.นี้นั้น

แกนนำขึ้นเวทีปลุกระดมทั้งคืน

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่เคลื่อนขบวนมายึดพื้นที่รอบรัฐสภา กลางดึกวันที่ 6 ต.ค.ว่า ตลอดคืนการชุมนุมเป็นไปด้วยความคึกคัก เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมที่เหลืออยู่กว่า 2 พันคน ปักหลักยึดพื้นที่รอบรัฐสภาไว้ โดยกระจายนั่งนอนกันกลาดเกลื่อนทั้งบนฟุตปาทและผิวถนน ทั้งถนนอู่ทองใน ถนนราชวิถี ขณะที่แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 ขึ้นเวทีปราศรัยเคลื่อนที่ที่จอดหน้ารัฐสภา โดยสลับกันขึ้นเวทีโจมตีรัฐบาล เนื้อหาเพื่อปลุกเร้าให้กลุ่มผู้ชุมนุมปักหลักยึดพื้นที่ไปจนถึงเช้า และอ้างว่าพันธมิตรฯชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ จึงมีความความชอบธรรมในการปิดกั้นรัฐสภา เพื่อไม่ต้องการให้รัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมแถลงนโยบายบริหารประเทศได้

ตั้งบังเกอร์-แจกอาวุธรับมือ ตร.

อย่างไรก็ตาม แม้แกนนำพันธมิตรฯจะอ้างว่า เป็นการชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ แต่ในส่วนของกองทัพการ์ดอาสาพันธมิตรฯนับร้อยนายถูกส่งมาตรึงพื้นที่ ก็ต่างตระเตรียมพร้อมรับมือตำรวจ โดยมีการนำยางรถยนต์ มาวางกั้นกลางถนนเป็นแนวบังเกอร์ บริเวณถนนราชวิถี ช่วงแยกตัดกับถนนพิชัย ล้อมด้วยรั้วลวดหนามและแผงเหล็ก พร้อมนำรถมาจอดขวางกลางถนน ทั้งยังแจกอาวุธ ทั้งไม้ ท่อนเหล็ก หนังสติ๊ก หมวกกันน็อก อุปกรณ์กันแก๊สน้ำตา เพื่อป้องกันประตูทางเข้ารัฐสภาฝั่งถนนราชวิถี ไม่ให้มีคนเข้าออก ทั้งนี้ ทางหัวหน้าการ์ดยังกำชับว่า หากเจ้าหน้าที่บุกเข้ามายึดพื้นที่เมื่อไร ขอให้การ์ดอาสาร่วมกันต่อสู้ป้องกันพื้นที่จนถึงที่สุด

ตำรวจเริ่มสลายกลุ่มชุมนุมตอนค่อนรุ่ง

กระทั่งเวลาประมาณ 06.00 น. กำลังหน่วยอรินทราช บก.ตปพ. ตำรวจภูธรและตำรวจนครบาลในชุดปราบจลาจล โล่มือยิงแก๊สน้ำตาและปืนลูกซองยาวกว่า 3 กองร้อย เคลื่อนกำลังมาอย่างเงียบๆแล้วตั้งจุดรวมพลที่ด้านหน้าแนวบังเกอร์ของพันธมิตรฯ ฝั่งถนนพิชัย และฝั่งถนนราชวิถี จากนั้นการสลายการชุมนุมกลุ่มชุมนุมพันธมิตรฯที่ปิดล้อมรัฐสภา ก็เริ่มขึ้นตั้งแต่เวลา 06.05 น. โดยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวมพลตั้งแถวบริเวณประตูทางเข้ารัฐสภา ฝั่งตรงข้ามแยกถนนพิชัยตัดถนนราชวิถี จากนั้นเดินฝ่าแนวกั้นรั้วเหล็ก ลวดหนามและยางรถยนต์ ที่กลุ่มพันธมิตรฯนำมาขวางกั้นถนน โดยใช้รถขยายเสียงประกาศให้ผู้ชุมนุมเปิดเส้นทางจราจรให้ประชาชนได้สัญจรตามปกติ เนื่องจากมีประชาชนได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก ไม่สามารถข้ามสะพานกรุงธนบุรีมาทำงานฝั่งพระนครได้ รถติดยาวเหยียด เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมเห็นตำรวจ ก็ลุกฮือไปยืนขวางแนวกั้นจนเกิดการเผชิญหน้า เจ้าหน้าที่พยายามเจรจาให้เปิดทางไปชุมนุมกันอย่างสงบ ที่หน้ารัฐสภา ด้านถนนอู่ทองใน แต่ก็ไม่เป็นผล กลับถูกกลุ่มผู้ชุมนุมโห่ขับไล่

โดนระเบิดแก๊สน้ำตาถึงขาขาด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นว่าผู้ชุมนุมไม่ยอมเปิดเส้นทางง่ายๆ จึงเปิดฉากยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมทันที สร้างความแตกตื่นแก่กลุ่มพันธมิตรฯตกใจวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น ขณะที่บางคนนำอุปกรณ์ป้องกันแก๊สน้ำตา ที่เตรียมไว้ออกมาป้องกัน เช่น แว่นตา ผ้าปิดปากปิดจมูก ผ้าเช็ดหน้า ในขณะที่ตำรวจยังคงใช้แก๊สน้ำตายิงใส่ ฝูงชนเป็นระยะๆ จนกลุ่มผู้ชุมนุมถอยร่นไม่เป็นกระบวน พร้อมกับใช้ขวดน้ำและสิ่งของขว้างปาใส่ตำรวจเพื่อตอบโต้ โดยบางคนตกใจวิ่งหนี บางคนคลานหลบควันแก๊ส กระทั่งถอยไปรวมกันอยู่บนหัวถนนอู่ทองใน ตัดกับถนนราชวิถี ทั้งนี้มีผู้ชุมนุมหลายรายนอกจากจะแสบตากันแล้ว ยังมีผู้ถูกสะเก็ดระเบิดจากแก๊สน้ำตาเลือดสาดหลายราย ถูกนำส่ง รพ.ต่างๆ อาทิ รพ.วชิรพยาบาล รพ.พระมงกุฎฯ และ รพ.ราชวิถี ในจำนวนนี้มีถูกสะเก็ดระเบิดอย่างจัง 2 ราย ยังไม่ทราบชื่อ คนแรกเป็นชายสูงอายุถูกแรงระเบิด บริเวณขาซ้ายกระดูกแตกหักร่องแร่ง อีกรายเป็นชายวัยรุ่นถูกสะเก็ดระเบิดที่ขาขวาเป็นแผลเหวอะหวะ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกหน่วยกู้ชีพนำส่ง รพ.วชิรพยาบาล

ตำรวจเปิดการจราจรได้สำเร็จ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 06.30 น. ทันทีที่กลุ่มพันธมิตรฯเริ่มถอยร่นไม่เป็นขบวน กำลังตำรวจนับร้อยนาย ก็เริ่มดาหน้ากันเคลื่อนขบวนเข้ามาจากจุดรวมพลคือ ถนนพิชัยและถนนราชวิถี หน้ากรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ เพื่อรื้อแนวบังเกอร์รวมทั้งเครื่องกีดขวางของกลุ่มพันธมิตรฯบนถนนราชวิถี ในที่สุดก็สามารถเปิดช่องทางการจราจร ตั้งแต่แยกการเรือน เข้าสู่ถนนราชวิถี ไปจนจดแยกตัดกับถนนพิชัย และเปิดประตูปราสาทเทวฤทธิ์ประตูรัฐสภาฝั่งถนนราชวิถีได้ จากนั้นกำลังตำรวจกว่า 2 กองร้อย จึงไปรวมพลตั้งแถวขวางถนนราชวิถี บริเวณก่อนถึงแยกอู่ทอง เพื่อสกัดพันธมิตรฯเคลื่อนมาบุกยึดประตูด้านข้างรัฐสภาอีกระลอก

สามารถเปิดทางเข้าออกรัฐสภาได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่สลายการชุมนุม บริเวณแยกพิชัยตัดถนนราชวิถีได้สำเร็จ ทำให้ สามารถเปิดเส้นทางเข้าประตูรัฐสภาด้านฝั่งตรงข้ามถนนพิชัย เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาเข้าประชุมสภาได้ โดยเจ้าหน้าที่เข้าไปตรึงกำลังในรัฐสภา แล้วกระจายกันอยู่เพื่อรักษาความปลอดภัย ในขณะที่ผู้ชุมนุมพยายามปลุกระดมว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำรุนแรงเข้าสลายกลุ่มชุมนุม จนมีผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บ ในขณะที่กลุ่มรักษาความปลอดภัยพันธมิตรฯหรือนักรบศรีวิชัย ซึ่งเป็นการ์ดได้ระดมพลมาตั้งแถวรับมือกับตำรวจ อยู่บริเวณแยกราชวิถีตัดอู่ทองใน โดยมี พล.อ.ปฐมพงศ์ เกษรศุกร์ เข้ามาเจรจาให้ผู้ชุมนุมนั่งปักหลักขวางถนนราชวิถี ในขณะที่ตำรวจวางกำลังตรึงเผชิญหน้าด้วยความตึงเครียด

การ์ดอาสาระดมอาวุธตอบโต้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่ถูกจู่โจมโดยไม่ตั้งตัว กลุ่มพันธมิตรฯ โดยเฉพาะการ์ดอาสาพากันร้องเรียกระดมพล เตรียมอาวุธไม้กระบอง ท่อนเหล็ก กรูเข้าไปจะสู้กับตำรวจด้วยความโกรธแค้น แต่ก็ถูกหน่วยอรินทราชคงระดมยิงแก๊สน้ำตาใส่ จนต้องถอยร่นไปรวมกันที่ถนนราชวิถีข้างเขาดิน และถนนอู่ทองในหน้ารัฐสภา แต่แม้จะถอยร่นไปไกลก็ยังมีกระสุนแก๊สน้ำตายิงตามมาตกอยู่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่คราวนี้การ์ดอาสาบางคนทิ้งอาวุธหนีกระเจิง บ้างตะโกนให้ช่วยกันเผาอาคารสถานที่ราชการ แต่ก็ถูกพวกเดียวกันห้ามไว้ได้ทัน

ใช้แผนโล่มนุษย์สกัดกั้นตำรวจ

ต่อมาเมื่อเวลา 06.45 น. หลังกำลังตำรวจสามารถเคลื่อนไปยึดพื้นที่แล้วเปิดช่องทางเข้าอาคารรัฐสภาได้ ก็เริ่มยุติการยิงแก๊สน้ำตาลง กลุ่มการ์ดอาสาและผู้ชุมนุมบางส่วนเริ่มทยอยกลับเข้าพื้นบนถนนราชวิถี แต่คราวนี้ใช้แผนใหม่ด้วยการยอมทิ้งอาวุธมีด ไม้ ท่อนเหล็ก ทั้งหมด แล้วเปลี่ยนมานั่งลงบนพื้นถนนราชวิถีติดแยกอู่ทอง ในลักษณะของโล่มนุษย์ กันไม่ให้ตำรวจเคลื่อนเข้ามาถึงถนนอู่ทองใน โดยแนวโล่มนุษย์ของพันธมิตรฯนั้นนั่งประจันหน้าห่างจากแถวของตำรวจราว 5 เมตร ทางตำรวจก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาใช้กระบองสลายการชุมนุม ระหว่างนั้น พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ มาเป็นแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม พร้อมใช้โทรโข่งเรียกร้องให้ตำรวจหยุดยิงแก๊สน้ำตา และเรียกให้ผู้ชุมนุมทิ้งอาวุธ แล้วนั่งลงกับพื้นถนนเป็นโล่มนุษย์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“ ปฐมพงษ์” เจรจา ตร.ให้หยุดยิง

เวลา 06.51 น. พล.อ.ปฐมพงษ์ประกาศกับผู้ชุมนุมว่า ขณะนี้ได้ติดต่อไปยัง เสธ.ทบ.และขณะนี้ทาง ทบ.ได้มีการเตรียมพร้อมที่จะมาช่วยผู้ชุมนุมแล้ว เรียกเสียงโห่ร้องจากกลุ่มผู้ชุมนุมดังกึกก้อง และในเวลา 06.56 น. พล.ต.ต. จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบช.น. สวมชุดปราบจลาจล ข้ามแถวตำรวจ มาที่หน้าแนวโล่มนุษย์ของกลุ่มพันธมิตรฯ ก่อนเข้าเจรจากับ พล.อ.ปฐมพงษ์ จากนั้น พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวว่า ตนเคยผ่านการรบมาเยอะไม่เคยบาดเจ็บ วันนี้บาดเจ็บเล็กน้อย ถูกตำรวจยศจ่าเตะ กระทืบ แต่ก็ไม่ติดใจ แต่ขอให้หยุดแค่นี้ ที่บาดเจ็บนั้นตนถือว่าขอกันกิน ขณะที่ทาง พล.ต.ต.จักรทิพย์ได้เข้ามายกมือไหว้ขอโทษขอโพย พล.อ.ปฐมพงษ์ แล้วมีการจับไม้จับมือกัน ทำให้บรรยากาศยุติความตึงเครียดลงไปได้บ้าง นอกจากนี้ทางพันธมิตรฯ ก็ยอมรื้อลวดหนามที่เอามาตั้งไว้หลังแผงเหล็กบริเวณก่อนแยกอู่ทองในออกมาแต่โดยดี ส่วนตำรวจหน่วยอรินทราชบางราย ก็เดินข้ามแนวมาขอโทษกลุ่มผู้ชุมนุมที่นั่งอยู่บนพื้นถนนด้วยตัวเอง

ยืนยันปักหลักชุมนุมหน้าสภาต่อ

เวลา 07.10 น. พล.อ.ปฐมพงษ์ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ คุยกับรอง ผบช.น.ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของตนมาก่อน ทางตำรวจยืนยันจะตรึงกำลังไว้เพียงแค่นี้ ขณะที่ทางพันธมิตรฯก็จะยังคงปักหลักชุมนุมต่อไป ส่วนการสลายการชุมนุมครั้งนี้ จะส่งผลให้พันธมิตรฯทั่วประเทศลุกฮือหรือไม่ เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องพิจารณาดูเอาเอง เพราะประชาชนที่มานั้นไม่มีใครจ้าง จากนั้นเวลา 07.21 น. กำลังตำรวจ ได้ถอยหลังไปตั้งแนวสกัด ห่างจากแยกอู่ทองในราว 10 เมตร และระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุมยังประจันหน้ากันอยู่นั้น ปรากฏว่าได้มีเฮลิคอปเตอร์ 3 ลำ บินมาร่อนลงจอดในกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ท่ามกลางความสนใจจากผู้ชุมนุมและสื่อมวลชนแต่ไม่รู้ว่าเป็น ฮ. สังกัดหน่วยงานไหน

แกนนำรุ่นสองจี้ให้รัฐบาลรับผิดชอบ

ขณะที่บนเวทีปราศรัยหน้ารัฐสภา นางมาลีรัตน์ แก้วก่า อดีต ส.ว.สกลนคร กล่าวกับฝูงชนว่า ขณะนี้นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความพันธมิตรฯกำลังรวบรวมรายชื่อ ผู้บาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภาทั้งหมด เพื่อฟ้องต่อสหประชาชาติ

จากนั้นอีกสิบนาที เวลา 07.30 น. นายศิริชัย ไม้งาม แกนนำพันธมิตรฯรุ่น 2 ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวที่แยกอู่ทองในว่า เจ้าหน้าที่ทำกับผู้ชุมนุมที่บริสุทธิ์ปราศจากอาวุธเกินกว่าเหตุ ทำให้ผู้ชุมนุมบางรายถึงขั้น ขาขาด อีกทั้งได้รับบาดเจ็บกว่า 100 คน ขณะที่ผู้บาดเจ็บ สาหัสมีประมาณ 10 คน ถึงจุดนี้แล้วไม่ได้สนใจการแถลงนโยบายของรัฐบาล แต่สนใจการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน มากกว่า และรัฐบาลต้องรับผิดชอบ ต่อจากนี้พันธมิตรฯ จะมีการประเมินสถานการณ์เป็นรายชั่งโมง แต่ยืนยันว่าจะยึดพื้นที่ไว้ก่อน มั่นใจประชาชนจะมาร่วมชุมนุมเพิ่ม และจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วๆนี้แน่นอน

สมเด็จฯห่วงใยผู้ได้รับบาดเจ็บ

นพ.ชัยวัน เจริญโชคทวี ผอ.โรงพยาบาลวชิรพยาบาล กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งจากแก๊สน้ำตาและสะเก็ดระเบิด ซึ่งท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ฑีขะระ รองราชเลขานุการในสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้โทรศัพท์มาสอบถามถึงสถานการณ์ พร้อมแจ้งว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงห่วงใยพสกนิกรคนไทยทุกคน ทรงสอบถามถึงอาการผู้บาดเจ็บ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯรับผู้บาดเจ็บไว้ในพระอุปถัมภ์ทั้งหมด พร้อมกำชับให้ดูแลเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ยังทรงพระราชทานเงินจำนวน 100,000 บาท เป็นค่ารักษาพยาบาล ทำให้ผู้บาดเจ็บ แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ต่างปลาบปลื้ม ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ ถือเป็นกำลังใจให้กับทุกคน ทั้งนี้ ทางโรงพยาบาลจะสนองตามพระราชประสงค์ทุกประการ ส่วนค่ารักษานั้นคงไม่ต้องพูดถึง

หมอไม่เชื่อแก๊สน้ำตาทำขาขาด

ผอ.โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เปิดเผยถึงยอดผู้ได้รับบาดเจ็บขณะนี้ว่า เข้ารักษาตัวที่ รพ.วชิรพยาบาลทั้งสิ้น 47 ราย รพ.รามาธิบดี 22 ราย สำหรับผู้ที่มีอาการบาดเจ็บสาหัสที่สุดรักษาตัวที่ รพ.วชิรพยาบาล คือนายบัญชา บุญแก้ว อายุ 30 ปี มีอาการน่าเป็นห่วง เนื่องจากได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เข่าซ้ายลงไป กระดูกเละ กล้ามเนื้อฉีกขาด เส้นเลือดแตกขาด คาดว่าต้องตัดขาทิ้ง ไม่สามารถรักษาได้ ศัลยแพทย์กำลังช่วยรักษาอย่างเต็มที่ โดยทางโรงพยาบาลจะดูแลให้ดีที่สุด

นอกจากนี้ ยังมีผู้บาดเจ็บสาหัสรักษาตัวในห้องผ่าตัด แต่อาการพ้นขีดอันตรายแล้วอีก 6 คน ประกอบด้วยนายสรวุฒิ พ่อทองคำ อายุ 49 ปี นายปิตินันท์ แก่นสาร อายุ 26 ปี นางพรทิพย์ เจริญจิตร อายุ 49 ปี นายประภาส ตรีสุพัฒนกุล อายุ 25 ปี นางนาตยา ธิญา อายุ 25 ปี น.ส.จิระพัชร สาระคุณ อายุ 32 ปี เป็นแผลที่ก้น ส่วนผู้บาดเจ็บรายอื่นๆในภาพรวมส่วนใหญ่เกิดจากการถูกแก๊สน้ำตา ทำให้ระคายเคือง มีหลายรายได้รับบาดเจ็บตามแขนขา ศีรษะ ลำตัว และลูกตา ลักษณะแผลเป็นสะเก็ด ฉีกขาด เท่าที่วินิจฉัยในฐานะแพทย์น่าจะเกิดจากวัตถุระเบิด เพราะจากแก๊สน้ำตาไม่น่ารุนแรงจนก่อให้เกิดบาดแผลลักษณะนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้บาดเจ็บที่ถูกส่งมานั้นต่างรู้สึกตัวดี มีบางส่วนกลับบ้านบ้างแล้ว

กลุ่มชุมนุมระบุตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่จังๆ

นายเทียนชัย ตั้งไชยศรี อายุ 47 ปี อาชีพพ่อค้า ที่เข้ามาร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯหน้ารัฐสภาบริเวณแยกพิชัย ได้รับบาดเจ็บที่ก้นเป็นแผลฉีก กล่าวว่า ขณะที่กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม เห็นหญิงชราถูกแก๊สน้ำตาล้มนอนฟุบอยู่กับพื้น จึงวิ่งเข้าไปอุ้มเพื่อนำส่งหน่วยพยาบาล ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ระดมยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง ทำให้กระสุนแก๊สน้ำตาตกลงบริเวณก้นอย่างจัง จนล้มลงทั้งคู่ ร่างกายท่อนล่างชาไปหมด ขยับตัวไม่ได้ ก่อนที่จะถูกนำส่ง รพ.วชิรพยาบาล

นายวิทยา การดี ผู้ได้รับบาดเจ็บคนหนึ่ง เปิดเผยว่า เข้าชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยนำกล้องถ่ายภาพมาบันทึกเหตุการณ์ด้วย โดยช่วงเกิดเหตุสลายกลุ่มชุมนุมอยู่ห่างจากจุดที่ตำรวจยิงประมาณ 10 เมตร รู้สึกเหมือนกับว่า มีลูกกลมๆขว้างเข้ามา และเจ็บบริเวณด้านหลัง เป็นบาดแผลคล้ายกับถูกสะเก็ดระเบิด คิดว่าไม่ใช่แก๊สน้ำตาอย่างแน่นอน

นำชิ้นเนื้อมนุษย์มาฟ้องสื่อมวลชน

เวลา 08.00 น. ที่ประตูทางเข้ารัฐสภาฝั่งถนนราชวิถี ซึ่งตำรวจยึดคืนมาได้สำเร็จ เริ่มมีเจ้าหน้าที่รัฐสภา และ ส.ส.บางส่วนทยอยเดินทางเข้าไปในรัฐสภาเพื่อเตรียมรับฟังการแถลงนโยบายของรัฐบาล เวลา 08.10 น. เจ้าหน้าที่อาสาพยาบาลของกลุ่มพันธมิตรฯ กลุ่มหนึ่งได้นำเศษชิ้นเนื้อของมนุษย์ที่อ้างว่าถูกระเบิดของตำรวจจนฉีกกระเด็นตกลงบนพื้นถนน พร้อมปลอกกระสุนแก๊สน้ำตา และระเบิดแก๊สน้ำตาแบบถอดสลับขว้าง ซึ่งใช้งานแล้ว มาฟ้องต่อสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ บริเวณข้างเขาดินฝั่งถนนราชวิถี โดยอ้างว่าเป็นชิ้นเนื้อของพันธมิตรฯ ที่ถูกระเบิดจนขาขาด แสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ใช้ระเบิดจริงในการสลายการชุมนุม จากนั้นยังมีการนำชิ้นส่วนเหล่านี้ไปโชว์บนเวทีปราศรัยพันธมิตรฯ ที่หน้ารัฐสภาอีกด้วย

ปชป.เรียกแกนนำพรรคถกด่วน

เมื่อเวลา 08.30 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกประชุม ส.ส.ของพรรคเป็นการเร่งด่วน เพื่อหารือถึงการกำหนดท่าทีว่าจะเข้าร่วมประชุมรัฐสภาที่จะมีการแถลงนโยบายโดยรัฐบาลของนายสมชายวงศ์สวัสดิ์หรือไม่ ภายหลังเกิดเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ด้านหน้ารัฐสภา โดยบรรยากาศการประชุมเป็นไปอย่างเคร่งเครียด รวมทั้งแกนนำของพรรคและ ส.ส.ของพรรค ได้เดินทางมาร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง

สรุปชัดเจนไม่ขอร่วมสังฆกรรม

รายงานข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยว่า เมื่อเข้าสู่การพิจารณากรณีดังกล่าว นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.กทม.รองหัวหน้าพรรค และนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง เสนอว่า พรรคควรเข้าร่วมการประชุมรัฐสภาในวันนี้เพื่ออภิปรายนโยบายของรัฐบาลแล้ววอล์กเอาต์เมื่อนายกรณ์และนายนิพิฏฐ์ได้เสนอแนวทางดังกล่าว ก็ทำให้ ส.ส.ลุกขึ้นอภิปรายกันพรึบพรับ โดยไม่เห็นด้วยที่จะใช้วิธีการนั้น เนื่องจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเป็นเรื่องร้ายแรง ทั้งนี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รองหัวหน้าพรรค นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นายวิรัช ร่มเย็น รองเลขาธิการพรรค นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรค ได้อภิปรายอย่างเผ็ดร้อนว่า จะต้องเสนอแนวทางแบบแตกหัก และไม่ร่วมสังฆกรรมกับรัฐบาลอีกต่อไป โดยได้มี ส.ส.อีกหลายคนเห็นว่าจุดยืนของพรรคตั้งแต่ต้น คือถ้ารัฐบาลทำร้ายประชาชน พรรคจะไม่ร่วมสังฆกรรมกับรัฐบาลด้วย หรือถ้า ส.ส.คนใดเข้าร่วมประชุมรัฐสภาจะเป็นการการันตีให้รัฐบาล และหาความชอบธรรมให้การประชุมรัฐสภา นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นว่าเวลานี้ รัฐบาลไม่ได้ยึดกฎกติกาของบ้านเมือง แต่ใช้ความรุนแรง จึงรับไม่ได้กับเรื่องดังกล่าว

“ อภิสิทธิ์” ลั่นไม่เดินข้ามกองเลือด

ภายหลังการประชุมนานกว่า 2 ชั่วโมง นายอภิสิทธิ์แถลงว่า จากการที่ประธานรัฐสภาได้นัดการประชุมรัฐสภาเพื่อให้แถลงนโยบายรัฐบาล พรรคก็ได้ เตรียมตัวการอภิปรายอย่างเต็มที่ ให้ความร่วมมือตามกระบวนการรัฐสภามาตลอด แต่ก่อนการประชุมได้มีการชุมนุมหน้ารัฐสภาและตำรวจสลายการชุมนุม แม้ไม่ใช่สิ่งผิด แต่การสลายการชุมนุมต้องปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน กลับทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกว่า 40 คน บาดเจ็บสาหัส 3 คน ที่น่าเสียใจที่สุดคือยังไม่ได้ยินคนในรัฐบาลหรือประมุขของสภาออกมาแสดงความห่วงใยหรือตรวจสอบข้อเท็จจริง บุคคลระดับผู้นำกลับยืนยันแถลงนโยบายให้สำเร็จ ท่าทีเช่นนั้นไม่ใช่ท่าทีของคนที่มีสำนึกของคนที่เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย มุ่งแต่อำนาจแม้ว่าจะต้องให้ผู้แทนปวงชนชาวไทยเดินผ่านกองเลือดเข้าไปเพื่อให้ตัวเองได้ใช้อำนาจต่อ พรรคประชาธิปัตย์รับท่าทีเช่นนี้ไม่ได้ ดังนั้น การประชุมพรรควันนี้ ส.ส.ทั้งหมดจึงตัดสินใจไม่เข้าร่วมแถลงนโยบายของรัฐบาล เพราะไม่มีความชอบธรรมที่จะผลักดันให้กระบวนการนี้เดินต่อไป

อัดซ้ำ “ สมชาย” หน้าไหว้หลังหลอก

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในฐานะที่ได้รับเชิญร่วมการเจรจา 4 ฝ่าย เพื่อหาทางออกให้ประเทศ ยืนยันว่าท่าทีของรัฐบาลยังไม่สมควรเดินหน้าเจรจาต่อไปจนกว่ารัฐบาลจะทบทวนและสอบสวนสิ่งที่กระทำไป อีกทั้งหลายเหตุการณ์ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่อยู่บนพื้นฐานของความจริงใจ นายกฯไม่ได้ รักษาเกียรติของท่าน ตนไม่ต้องการเห็นคนหน้าไหว้หลังหลอก หน้าเนื้อใจเสือ นายกฯบอกว่าจะเจรจากับพันธมิตรฯ แต่ตนยังไม่เห็นสัญญาณใดๆ จนกระทั่งเกิดเหตุเมื่อช่วงเช้า ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมา นายกฯบอกกับตนว่าจะไม่รับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของ นพ.เหวง โตจิราการ แต่ก็ไม่ออกมาให้ข่าวตามที่พูด อยากเตือนว่านายกฯไม่สามารถหลอกลวงประชาชนไปได้ วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลของนายสมชายในการแถลงจุดยืนของรัฐบาลได้ เมื่อถามว่า ขณะนี้รัฐบาลหมดความชอบธรรมในการบริหารบ้านเมืองจะมีการเรียกร้องให้ยุบสภาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขอรอดูก่อนว่ารัฐบาลจะแถลงความชัดเจนเช่นไร

ปชป.รุดเยี่ยมเหยื่อแก๊สน้ำตา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายอภิสิทธิ์พร้อมด้วย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จำนวนหนึ่ง ได้เดินทางไปยังวชิรพยาบาลและ รพ.รามาธิบดี เพื่อเยี่ยมประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บ จากการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หลังเกิดเหตุตำรวจสลายกลุ่มชุมนุม ตนและสมาชิกพรรคตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วมประชุมการแถลงนโยบายที่รัฐสภา เพราะเห็นภาพการใช้ความรุนแรงของรัฐบาลไม่ได้สนใจใยดีประชาชนผู้ได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรัฐบาลจะต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ ไม่ใช่เดินหน้าโดยไม่สนใจประชาชน หลังจากนี้จะเข้าประชุมกับสมาชิกในพรรคและรวบรวมข้อมูล รวมถึงประมวลสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เพื่อเข้าหารือกับรัฐบาล และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งหมด

ต่อมาเมื่อเวลา 09.00 น. นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม. เดินทางไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บที่ รพ.วชิรพยาบาล พร้อมกับเปิดเผยว่า รู้สึกเสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากฝากถึงรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้อง ให้ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง ไม่ควรให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

ตัดไฟฟ้าภายในสภา

สำหรับบรรยากาศที่รัฐสภาฯ ในช่วงเช้าหลังจากที่เกิดการปะทะกัน ระหว่างพันธมิตรฯกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บริเวณถนนราชวิถีตัดกับถนนอู่ทองใน เหตุการณ์ ต่างๆ ได้ผ่อนคลายความตึงเครียดลง ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 150 คน พร้อมด้วยอาวุธปราบจลาจลครบมือตั้งแถวยืนประจำการ โดยมีแผงเหล็กกั้นด้านหน้าอีกชั้น ขณะที่ฝุ่นควันของแก๊สน้ำตาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ปราบปรามผู้ชุมนุมยังคงลอยคละคลุ้งอยู่ ทำให้เกิดอาการแสบตากับผู้ที่เดินทางไปมาอยู่ ต่อมาเวลา 09.25 น. กลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งคาดว่าเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าฯ นำท่อพีวีซีสีเหลืองต่อกันยาวสูงประมาณเสาไฟฟ้า โดยที่ตรงปลายใช้ไม้ผูกทำเป็นตะขอเกี่ยว จากนั้นนำไปเกี่ยวสายไฟฟ้าบริเวณริมถนนราชวิถีตัดกับอู่ทองใน เพื่อตัดกระแสไฟฟ้าที่จะเข้าไปภายในรัฐสภา โดยใช้เวลา 10 นาที จึงตัดไฟฟ้าเป็นผลสำเร็จ นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวยังรายงานอีกว่า ส่วนสถานที่ราชการต่างๆ อาทิ สวนสัตว์ดุสิต สำนักงาน ก.พ.และสำนักงาน ป.ป.ช.ได้หยุดทำการในวันเดียวกันนี้ เพราะเกรงว่าเหตุการณ์ จะทวีความรุนแรงขึ้น ส่วนบริเวณถนนเข้าออกทุกเส้นโดยรอบรัฐสภาถูกปิดตายไม่ให้รถผ่านเข้าออกได้

ระดมพลปิดล้อมรัฐสภาอีกรอบ

สำหรับบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ทำเนียบฯ ภายหลังที่มีการสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา ก็เริ่มตึงเครียด มีการปลุกระดมผู้ชุมนุมตลอด โดยได้ประกาศขอชายฉกรรจ์ 500 คน ให้เตรียมพร้อม เพื่อไปสมทบบริเวณด้านหน้ารัฐสภา มีการเตรียมอาวุธครบมือ ประกอบด้วย ไม้กอล์ฟ กระบอง เหล็กแป๊บบริเวณตรงหน้าวัดเบญจฯ ได้มีกำลังตำรวจประมาณหนึ่งกองร้อยตั้งแถวอยู่ ขณะที่กลุ่มการ์ดอาสาของกลุ่มพันธมิตรฯจำนวนมาก ที่ยืนรักษาความปลอดทุกประตูเข้าออกบริเวณพื้นที่ชุมนุม ใส่หมวกกันน็อก ถืออาวุธครบมือ เพื่อป้องกันการสลายการชุมนุมของตำรวจ พร้อมกับตรวจตราผู้ที่เดินเข้าออกพื้นที่อย่างเข้มงวด ขณะเดียวกันได้มีการนำผ้าขนหนู และหน้ากากผ้าปิดจมูกหลายพันผืนแจกจ่ายให้กับผู้ชุมนุมเพื่อไว้ป้องกันแก๊สน้ำตาหากเกิดเหตุฉุกเฉิน ส่วนที่บริเวณถนนลิขิต ตรงข้ามประตู 4 ทำเนียบรัฐบาล กลุ่มพันธมิตรฯได้มีการระดมอาสาสมัครชายหญิงจำนวนมาก เพื่อเป็นการ์ดของพันธมิตรฯ มีผู้สนใจสมัครเป็นจำนวนมาก

ห้ามผู้สื่อข่าวเอ็นบีทีเข้าที่ชุมนุม

ต่อมาเวลา 08.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย และนายสมศักดิ์ โกศัยสุข ได้สลับกันขึ้นเวทีปราศรัย พร้อมกับประกาศว่า ขอให้กลุ่มการ์ดอาสาทุกคน ตรวจตราผู้สื่อข่าวและช่างภาพที่เดินเข้าออกบริเวณพื้นที่ชุมนุมอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อไม่ให้ผู้สื่อข่าวและช่างภาพของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที เข้ามาทำข่าวในพื้นที่ชุมนุมทำเนียบฯ ขณะเดียวกัน ตรงบริเวณหน้าเวทีปราศรัย กลุ่มผู้ชุมนุมได้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่านายทวีชัย เจาวัฒนา บรรณาธิการศูนย์ภาพเนชั่นฯ เป็นช่างภาพของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ทำให้การ์ดต้องรีบนำตัวช่างภาพคนดังกล่าวออกจากพื้นที่ชุมนุม ซึ่งในท้ายที่สุดก็สามารถตกลงกันได้

เรียก พนง.รัฐวิสาหกิจหยุดงาน

แกนนำพันธมิตรฯยังกล่าวต่ออีกว่า ได้ประกาศขอให้กลุ่มสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจทั่วประเทศใช้วิธีอารยะขัดขืนด้วยการนัดหยุดงานทั่วประเทศ พร้อมกับให้รัฐวิสาหกิจการไฟฟ้าทุกแห่ง และการประปา ประกาศตัดน้ำตัดไฟหน่วยงานของราชการ รวมทั้งยังได้ประกาศปลุกระดมให้กลุ่มพันธมิตรฯ ที่อยู่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รีบเดินทางเข้ามาสมทบภายในทำเนียบฯ และหน้ารัฐสภาให้มากที่สุด โดยเฉพาะตรงบริเวณหน้ารัฐสภา ให้ปิดล้อมไว้ เพื่อไม่ให้คณะรัฐมนตรี ส.ส.และ สว.เข้าออกภายในสภาได้ แต่ถ้ามีบุคคลใดสามารถเข้าไปได้ ก็ไม่ปล่อยออกมาได้ ทั้งนี้ นายสนธิได้ประกาศว่าขอรับบริจาคยา อาหาร โดยเฉพาะน้ำดื่มที่ต้องการเป็นจำนวนมาก

ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ

นอกจากนี้ น.ส.อัญชลี ไพรีรักษ์ พิธีกรของกลุ่มพันธมิตรฯ กล่าวบนเวทีปราศรัยว่า ขณะนี้สมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานเงินจำนวนหนึ่งแสนบาท เป็นค่ารักษาพยาบาลแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ จากการที่ถูกตำรวจสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา พร้อมทั้งรับผู้บาดเจ็บไว้เป็นคนไข้ในพระราชินูปถัมภ์ เมื่อผู้ชุมนุมพันธมิตรฯที่ชุมนุมอยู่หลายพันคนได้รับทราบข่าว ต่างพากันร้องตะโกน “ ทรงพระเจริญ” จนดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ

กลุ่มชุมนุม พธม.แก้เผ็ดตัดไฟทั่วสภา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่กลุ่มพันธมิตรฯได้ มีการตัดไฟฟ้าภายในอาคารรัฐสภา จนไฟดับไปทั่วบริเวณรัฐสภา ทางเจ้าหน้าที่ได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยการนำระบบไฟฟ้าสำรองมาใช้ พร้อมกับประสานไปขอรถปั นไฟ มาเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ เนื่องจากระบบไฟฟ้าสำรองในอาคารรัฐสภาจะใช้ได้เพียงแค่ 7 ชั่วโมงเท่านั้นอย่างไรก็ตาม ในเวลา 10.30 น. เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าฯได้มาแก้ไขระบบไฟฟ้าจนใช้ได้ตามปกติอีกครั้ง

พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาฯคนที่สองกล่าวว่า การประชุมยังคงมีต่อไปแต่จะเป็นการประชุมที่สั้น คาดว่าจะใช้เวลาเพียง 6 ชั่วโมง เนื่องจากไฟสำรองสามารถใช้ได้แค่เพียง 7 ชั่วโมง โดยจะประสานทาง กฟผ.ให้นำรถปั นไฟมา ทั้งนี้ ขอความกรุณากลุ่มพันธมิตรฯ ได้เปิดทางให้ตัวแทนประชาชนคือ ส.ส. และ ส.ว. ได้ ทำหน้าที่ตัวเองด้วย ซึ่งถือว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุด จึงขอให้เคารพกฎหมายและหน้าที่ซึ่งกันและกัน เมื่อถามว่าหากวันนี้ไม่ครบองค์ประชุมจะทำอย่างไร พ.อ.อภิวันท์ กล่าวว่า หากไม่ครบองค์ประชุมจริงก็ต้องเลื่อน ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับสภาฯ เมื่อถามว่า หากรัฐบาลไม่สามารถแถลงนโยบายตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดจะทำอย่างไร พ.อ.อภิวันท์กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะรัฐบาลจะเตรียมการแถลงนโยบายในวันนี้ และเชื่อว่าจะรักษาสภาฯไว้ได้

“ สมชาย” ติดตามสถานการณ์ตลอด

สำหรับความเคลื่อนไหวของนายกรัฐมนตรี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการสลายกลุ่มผู้ชุมนุม ที่บริเวณด้านหน้าอาคารรัฐสภา ตั้งแต่เช้าตรู่ เวลาประมาณ 06.00 น. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้ติดตามสถานการณ์อยู่ภายในบ้าน ที่หมู่บ้านเบเวอร์ลี่ฮิลส์ ถนนแจ้งวัฒนะ บรรยากาศรอบๆบ้านเงียบสงบ ประตูหน้าบ้านด้านในและประตูรั้วด้านนอกปิดตลอด โดยมีการนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่และจากตำรวจนครบาล 2 มารักษาความปลอดภัยกว่า 30 นาย ขณะที่กลุ่มผู้สื่อข่าวได้เฝ้าสังเกตความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด

อ้างเหตุผล รบ.ต้องบริหารประเทศ

จากนั้นเวลา 08.10 น. นายชูศักดิ์ ศิรินิล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางเข้าไปยังบ้านนายกฯ นายชูศักดิ์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า จะพยายามเปิดประชุมให้ได้ ส.ส.ฝ่ายค้านรวมทั้ง ส.ว.ควรจะเข้าร่วมประชุมด้วย เพื่อให้นายกฯแถลงนโยบาย จากนั้นจะได้บริหารชาติบ้านเมืองได้ การดำเนินการกับกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจคิดว่าสถานการณ์แบบนี้ถ้าไม่ดำเนินการบางสิ่งบางอย่างตามกฎหมายเราก็ประชุมไม่ได้ ก็ต้องไปหาที่ประชุมใหม่ เลยเวลาที่รัฐธรรมนูญกำหนด ปัญหาบ้านเมืองก็เกิดขึ้นเช่นจะต้องตีความว่า ถ้าเลยเวลา 15 วันแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ชาติบ้านเมืองก็จะไปไม่รอด ก็จำเป็นต้องประชุมเมื่อถามว่า การแถลงนโยบายอย่างน้อยต้องเริ่มก่อนวันที่เท่าไร นายชูศักดิ์กล่าวว่า วันสุดท้ายคือวันที่ 9 ต.ค. อย่างไรก็ตาม ในการประชุม ครม.เมื่อคืนวันที่ 6 ต.ค.ที่ผ่านมาก็คุยกันว่าจะเลื่อนหรือไม่ ซึ่งก็ต้องดูที่สถานการณ์ ถ้าประชุมได้ก็ต้องประชุมเพื่อไม่ให้บานปลาย ส่วนจะร่นวันเวลาหรือไม่นั้นก็สุดแล้วแต่ เมื่อถามว่า นายกฯห่วงอะไรหรือไม่ นายชูศักดิ์กล่าวว่า ไม่ๆ

เคลียร์กลุ่มชุมนุมเปิดทางนายกฯเข้าสภา

กระทั่งเวลา 09.20 น. นายสมชายเดินทางออกจากบ้านถึงรัฐสภาในเวลา 09.45 น. โดยนายกฯเข้ามาทางประตูด้านข้างถนนราชวิถี ซึ่งเจ้าหน้าที่เคลียร์พื้นที่ไว้เรียบร้อยแล้ว ทันทีที่รถของนายกฯจอดบริเวณด้านล่างอาคารประชุมรัฐสภา กลุ่มผู้สื่อข่าวและช่างภาพทั้งไทยและต่างประเทศเกือบ 100 คน ได้กรูเข้าไปประชิดตัวรถจนเกิดการชุลมุนวุ่นวาย ทำให้ตำรวจติดตามรักษาความปลอดภัยนายกฯกว่า 10 นาย ต้องพยายามเคลียร์พื้นที่อย่างหนัก เพื่อให้นายกฯลงจากรถได้ บางคนต้องตะโกนเสียงดังลั่น ขอให้สื่อมวลชนเปิดทาง แต่ก็ไม่สำเร็จ นายสมชายจึงตัดสินใจลงจากรถ เดินเข้าไปยังรัฐสภา ท่ามกลางการอารักขาจากทีมงานที่ประสานมือล้อมตัวนายกฯไว้เป็นรูปวงกลม ทั้งนี้นายสมชายโดยมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด และไม่ยอมตอบคำถามผู้สื่อข่าวแม้แต่คำเดียว จนสามารถแหวกวงล้อมกองทัพสื่อเข้าไปแถลงนโยบายได้ในที่สุด

แนะยุบสภาชี้การเมืองถึงทางตัน

นายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลดึงดันที่จะแถลงนโยบาย โดยไม่มีฝ่ายค้านและ ส.ว.บางส่วนว่า ถือเป็นพฤติกรรม “ ปิดประตูตีแมว” โดยไม่สนใจต่อสถานการณ์วิกฤติการเมืองใดๆที่เกิดขึ้น นายกฯมีพฤติกรรมดื้อด้าน ที่จะแถลงนโยบายผ่านพ้นไป โดยไม่คำนึงถึงความชอบธรรมและความสง่างาม แต่กลับใช้เวทีรัฐสภาสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง นายกฯอาจถูกประณามจากสังคมว่า เป็นนายกฯที่มือเปื้อนเลือดอีกคนในประวัติศาสตร์การเมือง และเชื่อว่าตอนจบของผู้นำประเทศ ในลักษณะเช่นนี้จะถูกขับไล่จากประชาชนในท้ายที่สุด เชื่อว่าขณะนี้การเมืองมาถึงทางตัน นายกฯต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่อยากให้เท้าของนายกฯอยู่บนกองเลือด และยื่นมือเชิดชูปกป้องระบบทักษิณ จึงควรเลือกคืนอำนาจให้ประชาชนก็ยังไม่สาย

อัด “ บรรหาร” กลัวหลุดเก้าอี้

ส่วนกรณีที่นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ตำรวจสลายกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุ แต่กลุ่มผู้ชุมนุมนั้นทำรุนแรงเกินไป นายเทพไทกล่าวว่า ไม่อยากให้นายบรรหารหลับหูหลับตา แสดงออกให้สังคมเห็นกิเลสของตัวเองว่า อยากกอดแข้งกอดขาเป็นรัฐบาล จนมองข้ามความรุนแรง หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นกับลูกท็อป ลูกนา นายบรรหารจะรู้สึกอย่างไร ดังนั้น อยากให้นึกถึงหัวอกเขาหัวอกเรา และความเจ็บปวดของประชาชนบ้าง ไม่ควรแสดงอาการหวานคอแล้งในการร่วมรัฐบาล และกลัวการอดอยากปากแห้ง จากการเป็นฝ่ายค้านอย่างออกหน้าออกตาเกินไป

“ ชัย” ถ่วงเวลารอสมาชิกให้ครบ

สำหรับบรรยากาศในห้องประชุมสภาฯ เมื่อเวลา 09.40 น. ที่รัฐสภาได้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภาขึ้นทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมและได้แจ้งต่อสมาชิกว่า เนื่องจากขณะนี้มีเหตุขัดข้องบางประการ เกี่ยวกับการเดินทางมาประชุมซึ่งอาจไม่สะดวกจึงขอขยายเวลาการประชุมออกไปอีกระยะหนึ่งเพื่อรอสมาชิกเดินทาง จากนั้นได้เปิดโอกาสให้สมาชิกรัฐสภาหารือกันในเรื่องต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ทั้ง ส.ส.พรรคพลังประชาชน และ ส.ว.ได้กล่าวตำหนิถึงการไม่เดินทางเข้าร่วมประชุมของพรรคประชาธิปัตย์ และ ส.ว.บางกลุ่ม ว่า ไม่ทำหน้าที่ในฐานะสมาชิกรัฐสภา ไปอยู่ข้างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทั้งนี้ในห้องประชุมมีอากาศร้อนอบอ้าว ทำให้สมาชิกหลายคนถอดสูท พร้อมกับนำกระดาษขึ้นมาพัด ทั้งยังกล่าวกับนายชัยว่าปล่อยให้ตัดกระแสไฟฟ้าบริเวณรัฐสภาได้อย่างไร

“ สมชาย” เครียดไหว้ขอบคุณ ส.ว.

จนกระทั่งเวลา 10.20 น. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯและ รมว.กลาโหม ได้เดินทางเข้าสู่ห้องประชุม และตรงดิ่งมาไหว้ทักทาย นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ตรงที่นั่งประจำของนายบรรหาร และหารือกัน ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนายสมชายก็ได้เดินไหว้และทักทายสมาชิกวุฒิสภา ที่เข้าร่วม ประชุมในครั้งนี้อย่างนอบน้อม นายนิสิต สินธุไพร ส.ส. ร้อยเอ็ด พรรคพลังประชาชน ได้ลุกขึ้นกล่าวตำหนิ การไม่เข้าร่วมประชุมของพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง จนทำให้นายชัยได้กล่าวติดตลกว่า “ อย่าไปพาดพิงคนอื่น ดีแล้วที่ไม่มาประชุมจะได้ปิดเร็วขึ้น” ท่ามกลางเสียงฮาลั่นห้องประชุม

รีบประชุมทันทีที่ครบองค์ประชุม

จนกระทั่ง พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.นนทบุรี พรรคพลังประชาชน ได้ลุกขึ้นแจ้งว่าขณะนี้มีผู้มาลงชื่อครบองค์ประชุมเกิน 311 คนแล้ว และขอชี้แจงถึงสาเหตุที่ไม่สามารถเปิดแอร์ภายในห้องประชุมได้ เพราะต้องรักษาระบบไฟสำรอง จึงต้องรีบประชุม อย่างไรก็ตาม ตนได้ ประสานไปยังนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมช.มหาดไทย ให้ประสานไปยังการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เพื่อมาจ่ายกระแสไฟฟ้าภายในอาคารรัฐสภาแล้ว ขณะที่นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ ได้ลุกขึ้นตำหนิ ส.ว.บางกลุ่มที่ไม่เข้าประชุมว่า เป็นการกระทำที่น่าละอายอย่างยิ่ง และขอชี้แจงว่า ส.ว.ทั้งเลือกตั้งและ ส.ว.สรรหาส่วนใหญ่มีความเป็นกลางและพร้อมปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด ซึ่งทำให้ที่ประชุมปรบมือเสียงดังให้กับนางนฤมล

ฝ่าย กม.แนะลงมติเปิดสภาก่อน

จนกระทั่งเวลา 10.30 น. นายชัยได้แจ้งว่าขณะนี้มีผู้มาลงชื่อเกินกึ่งหนึ่งแล้ว จึงขอเปิดประชุม เพื่อให้ ครม.แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามมาตรา 176 ของรัฐธรรมนูญ ท่ามกลางนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ และ ครม.เข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง ยกเว้น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.สาธารณสุข ที่ไม่ได้มาประชุม ซึ่งนายชัยได้ขอให้ที่ประชุมลงมติ ตามมาตรา 127 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดโอกาสให้นายกฯแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในสมัยประชุมนิติบัญญัติ แต่นายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทย ได้ลุกขึ้นแย้งว่าไม่จำเป็นที่จะต้องมีการลงมติก่อน แต่นายชัยก็ยืนยันว่าฝ่ายกฎหมายของสภาฯ ได้แจ้งว่า จะต้องมีการปฏิบัติเช่นนั้น และขอให้ที่ประชุมใช้วิธีการเสียบบัตรลงคะแนนทันที ผลปรากฏว่ามีผู้อยู่ในห้องประชุม 314 คน แต่ให้ความเห็นชอบเพียงแค่ 307 คน งดออกเสียง 2 คน ไม่ลงคะแนน 5 คน นายชัยจึงแจ้งว่าเสียงเห็นชอบไม่ถึงกึ่งหนึ่ง จึงขอพักการประชุมออกไปก่อน 10 นาที จากนั้นการประชุมเริ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อเวลา 10.50 น. นายชัยได้ให้ที่ประชุมลงมติอีกครั้ง ผลปรากฏว่ามีผู้เห็นชอบเป็นเอกฉันท์ ด้วยคะแนน 320 เสียง โดยหลังจากเปิดประชุมก็สามารถใช้ไฟฟ้าและเปิดแอร์ได้ตามปกติ

สุดท้ายได้เปิดฉากแถลงนโยบาย

จากนั้น นายสมชายได้ลุกขึ้นแถลงนโยบายรัฐบาลทันที ขณะที่มี ส.ส.เดินออกจากห้องและพูดคุยเสียงดังทั้งที่เพิ่งแถลงนโยบายได้เพียง 2 นาที จนนายชัย ทนไม่ไหวถึงขอให้เงียบฟังคำแถลง ทั้งนี้นายสมชาย แถลงนโยบายสรุปตอนหนึ่งว่า วันนี้ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกคนจะต้องหันหน้าเข้าหากัน ร่วมกันคิดและร่วมมือกันแก้ปัญหา เพื่อพัฒนาประเทศให้กลับสู่ความ มั่นคง สงบสุข และมีเสถียรภาพเป็นที่เชื่อมั่นของทั้งคนไทยและคนต่างประเทศ รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดแก่การแก้ไขความขัดแย้งทางการเมือง ยึดทางสายกลางจึงมีความตั้งใจแน่วแน่ในการแก้ไขปัญหา โดยการรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน ตลอดจนสนับสนุนกระบวน การยุติธรรมให้ทำงานอย่างอิสระและเป็นกลไกตัดสินข้อขัดแย้ง ซึ่งได้เข้าสู่กระบวนการตามกฎหมาย ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหวังที่จะบรรลุถึงการยุติความขัดแย้งโดยสันติ คงไว้ซึ่งคุณธรรมและวัฒนธรรมอันดีงามของสังคมไทย ในการเอื้ออาทรและการให้อภัยซึ่งกันและกัน

สภาป่วน “ รสนา” ตะโกนให้ยุบสภา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่นายกรัฐมนตรี กำลังแถลงถึงเรื่องความปรองดองและความสมานฉันท์ ปรากฏว่า นายประสงค์ นุรักษ์ ส.ว.สรรหา ได้ลุกขึ้นโดยไม่มีการขออนุญาตประธาน โดยระบุว่า รัฐบาลจะบริหารประเทศด้วยความสมานฉันท์ได้อย่างไร เพราะเหตุการณ์ ข้างนอกกำลังรุนแรง มีคนบาดเจ็บจำนวนมาก ขอให้ รัฐบาลชะลอการแถลงนโยบายออกไปก่อน เช่นเดียวกับ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. ได้ลุกขึ้นตะโกนโดยไม่มีการกดไมโครโฟนขออนุญาตประธาน โดยกล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรใช้สภาฯเป็นที่รับรองหรือเป็นตรายางในการกระทำของรัฐบาลที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งตะโกนต่อว่ารัฐบาลให้ยุบสภาได้แล้ว จากนั้นมีเสียงตะโกนจากนายนิสิต สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด ตะโกนว่า “ พวกพันธมิตรฯออกไป” และมีเสียงเล็ดลอดตะโกนว่า “ มีผู้เข้ามาก่อกวนในสภา” พร้อมกันนี้ ก็ได้มี ส.ส.พลังประชาชนไม่พอใจกรูเข้าไปล้อม น.ส.รสนา โดนนายไรโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชาชน ได้เดินเข้าไปชี้หน้า ซึ่ง น.ส.รสนาก็ยังตะโกนพูดไม่ถอยเช่นเดียวกัน

“ ชัย” เรียก รปภ.พาออกนอกห้อง

จนกระทั่งนายชัยได้แจ้งกลางห้องประชุมว่า ให้ รปภ.เชิญ น.ส.รสนาออกไป ซึ่งนายนิคม ไวยรัชพานิช ส.ว.ฉะเชิงเทรา รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 ได้เข้ามาเคลียร์ พร้อมดึงแขน น.ส.รสนาออกจากวงล้อมของ ส.ส.พลัง � ประชาชน หลังจากนั้นนายสมชายก็ยังเดินหน้าแถลงนโยบายต่อจนเสร็จสิ้น และลงจากที่นั่งนายกฯ ไปหลังบัลลังก์เพื่อคุยกับ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รมว.มหาดไทย โดยคาดว่าเป็นการรายงานสถานการณ์ความคืบหน้าของกลุ่มชุมนุมพันธมิตรฯ

เสียงโห่คำรามลั่นสภา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา พรรคพลังประชาชน ได้เริ่มอภิปรายนโยบายเป็นคนแรก ปรากฏว่า ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ได้ลุกขึ้นประท้วงว่า มีคนนอกที่ไม่ใช่ ส.ส.และ ส.ว.เข้ามาอยู่ในห้องประชุม ซึ่งพอสิ้นเสียงก็ชี้ไปยังบริเวณท้ายห้องประชุม ปรากฏว่ามีชายคนใกล้ชิดของ น.ส.รสนานั่งอยู่ พร้อมกับมีเสียงโห่ไล่ดังลั่นห้องประชุม ทำให้ น.ส.รสนาไม่พอใจ ตะโกนออกมาว่า “ ประธานยุบสภาได้แล้ว” ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่สภาฯปรี่มาหิ้วตัวออกจากห้องประชุมทั้ง 2 คน ทั้งนี้ ร.ต.ท.เชาวรินยังกล่าวต่อว่า คนที่ไม่ได้เซ็นชื่อไม่มีสิทธิมาเข้าร่วมประชุมด้วย ทราบว่ามี ส.ว.กลุ่มหนึ่งไปวางแผนที่โรงแรมดุสิตพาเลซ เพื่อจ้องล้มการประชุมสภาในครั้งนี้ แต่เมื่อสามารถประชุมได้ก็นั่งรถมอเตอร์ไซค์มาเข้าร่วมประชุม เพื่อสร้างความปั่นป่วนในสภา

แถลงนโยบายรวบรัด 3 ชม.จบ

จากนั้นที่ประชุมได้เปิดโอกาสให้สมาชิกรัฐสภา ได้อภิปรายประมาณ 5 คน โดยคนสุดท้าย คือนายสงคราม ชื่นภิบาล ส.ว.สรรหา ได้อภิปรายเป็นคนสุดท้าย จากนั้นนายชัย ประธานในที่ประชุมได้แจ้งว่าเป็นที่รับทราบกัน ทุกคนว่า สถานการณ์ในขณะนี้ไม่ปกติจึงขอปิดการประชุม และงดการประชุมในวันที่ 8 ต.ค.เช่นกัน พร้อมกับสั่งปิดประชุมทันทีในเวลา 12.55 น. ซึ่งใช้เวลาการประชุมเพียงแค่ 3 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งปรากฏว่าไฟสำรองที่รัฐสภาก็หมดลงอีกครั้งหนึ่ง ภายหลังเลิกประชุมปรากฏว่า ส.ส.ต่างลงมาจับกลุ่มออกันทางประตูทางเข้า-ออกรัฐสภา เนื่องจากประตูทางออกถูกกลุ่มพันธมิตรฯ ล้อมอยู่ จนไม่สามารถจะออกจากรัฐสภาได้

รัฐบาลหมดความชอบธรรมแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯที่หน้ารัฐสภา เพื่อประท้วงรัฐบาลไม่ให้แถลงนโยบายได้ ซึ่งทางพันธมิตรฯเห็นว่ารัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไม่มีความชอบธรรมในการบริหารประเทศแล้ว เพราะรัฐบาลมีความประสงค์จะให้ผลที่แถลงนโยบายนำไปสู่การบริหารประเทศด้วยการทุจริตคอรัปชัน กลุ่มพันธมิตรฯจึงได้ใช้วิธีการปิดถนนตรงหน้ารัฐสภาอย่างความสงบและสันติ ตั้งแต่เวลา 19.00 น. วันที่ 6 ต.ค. เหตุการณ์ดังกล่าวตำรวจได้คำสั่งจากรัฐบาลให้สลายการชุมนุม

ใช้อาวุธหนักสลายกลุ่มผู้ชุมนุม

นายพิภพกล่าวอีกว่า รัฐบาลใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม จนทำให้มีผู้บาดเจ็บสาหัสเกือบร้อยชีวิต รักษาตัวที่ รพ.วชิระ 44 คน รพ.รามาฯ 28 คน รวมทั้งมีผู้บาดเจ็บจากการถูกระเบิดทำให้ขาขาดอีก 1 คน ทราบชื่อนายธัญญา คูณแก้ว อายุ 30 ปี ซึ่งนำส่งรักษาตัวที่ รพ.วชิระ โดยแพทย์ผู้รักษายืนยันว่าผู้บาดเจ็บได้รับบาดเจ็บจากการโดนสะเก็ดระเบิด ส่วนการที่รัฐบาลออกมาแถลงว่าไม่ได้ใช้อาวุธหนักนั้น ไม่เป็นความจริง ซึ่ง พล.อ.ปฐมพงศ์เป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ยืนยันว่าได้มีการใช้แก๊สน้ำตาอย่างรุนแรง นอกจากนี้ การใช้ความรุนแรงกับประชาชนที่ชุมนุมอย่างสงบและสันติครั้งนี้ ได้มีสถาบันต่างๆออกมาแสดงความคิดเห็นว่าปฏิเสธและไม่รับรัฐบาลชุดนี้ที่ใช้ความรุนแรงกับประชาชน ตนยืนยันว่าทางพันธมิตรฯจะไม่เข้าไปข้างในบริเวณรัฐสภา แต่จะปิดประตูเข้าออกของสภา และจะมีการชุมนุมอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ

ปิดล้อมสภาฯการชุมนุมยืดเยื้อ

เมื่อถามว่า สภาได้มีการประชุมนโยบายกันแล้ว พันธมิตรฯจะกำหนดมาตรการอย่างไรต่อไป นายพิภพกล่าว่า พันธมิตรฯจะปิดล้อมพื้นที่บริเวณรอบนอกสภาฯ โดยไม่ให้เข้าออกในสภา แต่ยืนยันว่าพันธมิตรฯจะไม่บุกเข้าไปยังในอาคารรัฐสภา และจะไม่เคลื่อนไหวไปยังที่อื่นนอกจากทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา การชุมนุมจะยืดเยื้อจนกว่าจะได้รับความสำเร็จ ทั้งนี้ จะยึดหลักการชุมนุมแบบสันติ อหิงสาปราศจากอาวุธเพื่อประกาศให้โลกได้รู้ว่ารัฐบาลใช้ความรุนแรงในการปราบประชาชน ซึ่งการแถลงนโยบายของรัฐบาลใช้เลือดของประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บรองรับนโยบายของรัฐบาล ซึ่งทั้งหมดไม่มีความชอบธรรม นอกจากนี้ ยังมีสื่อต่างชาติแพร่ภาพให้ชาวต่างประเทศได้เห็น

พันธมิตรฯเคลื่อนพลปิดทางเข้า

อีกด้านหนึ่ง เมื่อเวลา 10.30 น. วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานจากบริเวณสี่แยกขัตติยานี ถ.สุโขทัย ด้านหน้าพรรคชาติไทย ว่า กลุ่มพันธมิตรฯกว่า 200 คน นำโดยนายสุชาติ ศรีสังข์ อดีต ส.ส.และตัวแทนกลุ่มแพทย์พันธมิตรฯ ได้เคลื่อนรถหกล้อติดเครื่องขยายเสียง ปิดถนนบริเวณสี่แยกดังกล่าว ตรงทางเข้าถนนสุโขทัยตัดสามแยกพิชัยในลักษณะแซนด์วิช พร้อมทั้งได้ลำเลียงขวดน้ำดื่มจำนวนมาก มาตั้งเป็นแนวกั้นปิดถนน จากนั้นก็มีผู้ชุมนุมตามมาสมทบมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากบริเวณแยกโรงเรียนการเรือน ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจปิดทางเข้าออก ผู้ชุมนุมจึงทยอยเดินทางมาปิดจุดนี้แทน เพื่อปิดกั้นทางไม่ให้ ส.ส.และรัฐมนตรีสามารถเดินทางเข้าออกรัฐสภาได้

ฝ่าแก๊สน้ำตาสมทบหน้ารัฐสภา

ต่อมาเวลา 11.00 น. ที่บริเวณแยกมิสกวัน ได้มีกลุ่มพันธมิตรฯระดมกำลังหลายพันคน เพื่อเดินทางไปสมทบกับกลุ่มพันธมิตรฯที่ปักหลักอยู่ด้านหน้ารัฐสภาฯ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาการอยู่บริเวณดังกล่าวได้ยิงแก๊สน้ำตานับสิบลูกเข้าใส่ผู้ชุมนุม เพื่อสกัดกั้น ไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าไปสมทบได้ แต่ปรากฏว่าผู้ชุมนุมต่างพากันฝ่าออกไปได้ และไปร่วมสมทบอยู่ที่หน้ารัฐสภาเป็นผลสำเร็จ

ดัน ตร.ที่ยืนคุมเชิงข้างรัฐสภา

จากนั้นเวลา 11.30 น. รถตู้ดำยี่ห้อโตโยต้า อัลพาร์ต ของนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และรถเบนซ์สีดำของนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.คลัง วิ่งมาถึงด้านหน้าพรรคชาติไทย เพื่อเดินทางไปสภา แต่เมื่อเห็นกลุ่มผู้ชุมนุมปิดเส้นทาง รถทั้ง 2 คันได้หันหัวเลี้ยวกลับในทันที กระทั่งเวลา 12.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมจากด้านหน้ารัฐสภาจำนวนกว่า 100 คน ได้ผลักดันเจ้าหน้าที่ ตชด. และนครบาลชุดควบคุมฝูงชน ที่มีโล่และกระบองครบมือกว่า 300 นาย ให้ออกมาทางถนนสามแยกอู่ทองใน ซึ่งตรงกับประตูด้านข้างรัฐสภา โดยเปิดช่องให้ตำรวจเดินออกมาถึงสี่แยกถนนขัตติยานี ด้านหน้าพรรคชาติไทย โดยมีการปะทะกันเล็กน้อย เนื่องจากตำรวจบางส่วนยังตั้งแถวไม่ยอมออก ขณะที่กลุ่มการ์ดอาสาของพันธมิตรฯได้เข้าผลักดัน จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดได้ออกมาจากบริเวณดังกล่าว โดยไปตั้งแถวประจันหน้ากับกลุ่มผู้ชุมนุมบนถนนสุโขทัยแทน แต่ไม่มีการปะทะกันแต่อย่างใด จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมจึงได้ช่วยกันยกรถขังผู้ต้องหาของตำรวจ ที่จอดทิ้งไว้บนถนนสุโขทัยตัดสามแยกพิชัย มาขวางถนนทั้งสองเลน เพื่อป้องกันการรุกกลับของตำรวจ

ตำรวจถูกหอกคันธงแทงทะลุ

จากนั้นเวลาประมาณ 11.30 น. กลุ่มมวลชนที่บริเวณแยกอู่ทองในเพิ่มจำนวนมากขึ้นจนหนาตา และผลักดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจถอยร่นลงมาตามเส้นทางถนน พิชัย โดยมีการปะทะกับตำรวจประปราย โดยกลุ่มผู้ ชุมนุมใช้ไม้หน้าสาม ก้อนหินและอิฐเป็นอาวุธ เข้าขว้างปาใส่ตำรวจ ซึ่งในการปะทะกันครั้งนี้ทำให้นายตำรวจ 2 นายได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยรายแรกถูกคันธงที่ดัดแปลงเป็นหอกเสียบทะลุตัว ขณะที่อีกนายถูกแทงที่บั้นท้าย ซึ่งเพื่อนตำรวจที่เห็นเหตุการณ์ได้รีบนำตัวผู้บาดเจ็บขึ้นรถ รพ.ตำรวจ แต่กลับถูกกลุ่มฝูงชนสกัดรถ รพ.ไม่ยอมให้แล่นออก และพยายามเข้าตรวจค้นรถว่าจะมีตำรวจแอบซ่อนไปด้วยหรือไม่ กระทั่งเห็นชัดว่ามีตำรวจถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสอยู่ภายในรถ จึงยอมปล่อยให้รถ รพ.แล่นออกไป โดยเจ้าหน้าที่โรงเรียนวชิราวุธได้อำนวยความสะดวกให้ใช้เส้นทางออกไปทางถนนราชวิถี นำส่ง รพ.พระมงกุฎโดยด่วน

หมอเร่งยื้อชีวิต ตร.หลังหัวใจหยุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทั้งนี้ตำรวจ 2 นายที่ได้รับบาดเจ็บจากฝีมือกลุ่มชุมนุมพันธมิตรฯ ได้แก่ดาบตำรวจทวีป กลั่นเนียม ถูกแทงจากด้านหน้าทะลุหลัง บาดเจ็บสาหัส อีกนายคือ ส.ต.อ.ลอนดอน โนนกลางใต้ โดนแทงที่บั้นท้าย ซึ่งทันทีที่ไปถึง รพ. คณะแพทย์เร่งผ่าตัดช่วยชีวิตอย่างรีบด่วน โดยเฉพาะดาบตำรวจทวีปที่หัวใจหยุดเต้นไปแล้ว แต่แพทย์ก็สามารถปั๊มหัวใจคืนขึ้นมาได้

กลุ่มชุมนุมรุกไล่กลับยึดพื้นที่ถนนพิชัย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่กลุ่มกลุ่มชุมนุมพันธมิตรฯได้ใช้กำลังเข้าผลักดันตำรวจให้ออกไปพ้นแนวถนนพิชัย ทำให้ตำรวจส่วนใหญ่ต้องถอนกำลังไปปักหลักที่กองกำกับการสันติบาล 2 ถนนเศรษฐศิริ กระทั่งเวลา 13.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมทยอยปล่อยยางรถยนต์ที่จอดอยู่ในถนนพิชัย โดยเฉพาะรถตำรวจและรถที่คิดว่าเป็นของนักการเมือง แล้วกลุ่มผู้ชุมนุมได้นำเต็นท์และรถตำรวจที่ยึดได้มาปิดกั้นประตูทางออกรัฐสภา ทางประตูแดงที่ออกถนนราชวิถี และนำรถตำรวจและรถชาวบ้านที่ยึดมาได้ มาขวางเป็นบังเกอร์เพื่อสกัดการบุกของตำรวจ

“ สนธิ” ขีดเส้นตายรัฐบาล 6 โมงเย็น

เวลาเดียวกัน นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ขึ้นเวทีในทำเนียบรัฐบาลกล่าวเตือนผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ตอนนี้เตรียมรับโทษความผิดที่ทำร้ายประชาชนและให้ถอยออกจากทำเนียบฯและรัฐสภา เพราะรัฐบาลนี้จะอยู่ไม่เกิน 6 โมงเย็นวันนี้ นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต ที่ไปรับใช้นายสมชายทำร้ายประชาชน ใช้เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ยิงประชาชนขาขาด ตนบอกตั้งแต่สะพานมัฆวานฯแล้วว่าผู้ชุมนุมทั้งผู้หญิงผู้ชายล้วนแต่เป็นทหารเสือพระราชา วันนี้รู้แล้วทำร้ายลูกหลานพระองค์ท่าน ทำร้ายประชาชน ด้วยเหตุนี้พระองค์ท่านจึงพระราชทานเงินมาช่วยเหลือหนึ่งแสนบาท และรับเป็นคนไข้ไว้ในส่วนพระองค์ทั้งหมด

ใครยิงประชาชนจะถูกเช็กบิล

แกนนำพันธมิตรฯกล่าวด้วยความเคียดแค้นว่า รัฐบาลคงนึกไม่ถึงว่าวิชามารออกหมายจับพวกตน ประมาทว่าทำอะไรไม่ได้ ขอให้ประชาชนรอสักนิด เราจะเปลี่ยนความแค้นและน้ำตาเป็นความมุ่งมั่นไล่นายสมชายเตรียมหนีออกจากสภาฯได้แล้ว ตำรวจคุ้มกันช่วยเหลือนายสมชายให้ระวังตัว นายสมชายคือตัวการบงการเข่นฆ่าประชาชนครั้งนี้ แก๊สน้ำตาของตำรวจไทยกำลังจะถูกกองทัพอเมริกานำไปใช้ในอิรักเพราะมันตัดขาคนขาดได้ เศษระเบิดประจักษ์พยานขาขาดที่เก็บไว้ทั้งหมดถูกเช็กบิลไปตั้งแต่คนยิง และนายตำรวจผู้บังคับบัญชาทุกคน คราวนี้รอความสนุกจากพวกพันธมิตรฯ ทำให้การติดคุกของ พล.ต.จำลอง คุ้มค่า ขอให้เชื่อในแกนนำ พธม. ทั้งรุ่นหนึ่ง รุ่นสอง วันนี้อย่าไปไหน อย่ากะพริบตา หนังเรื่องยาวจะจบอยู่แล้ว หนังเรื่องนี้อำนวยการสร้างปี 2548 ฉายมาเรื่อยๆ ต่อ 50 ถึงปี 51 บอกว่าจะจบแล้ว ถ้าจบแล้ว อย่าคิดถึงแกนนำ พธม. หนังจบแล้วจะไม่เห็นตนต่อไป

รถยนต์ชาวบ้านเสียหายนับสิบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณแยกลานพระบรมรูปทรงม้า กลุ่มพันธมิตรฯกว่า 2,000 คน ได้เคลื่อนขบวนไปรวมตัวสมทบกับพันธมิตรฯที่ปักหลักอยู่หน้ารัฐสภา ได้เกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้น เมื่อตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บแสบตาเป็นจำนวนมาก ต้องใช้น้ำมาล้างตาเพื่อบรรเทาอาการแสบ ซึ่งภายหลังเหตุการณ์สงบลง กลุ่มผู้ชุมนุมได้เก็บรวบรวมปลอกกระสุนแก๊สน้ำตา กระป๋องกาแฟที่บรรจุดินปืนได้จำนวนกว่า 10 ชิ้น โดยได้นำมาให้ช่างภาพและผู้สื่อข่าวได้บันทึกภาพและทำข่าว นอกจากนี้ ยังพบว่าพื้นดินบริเวณเกาะกลางถนนศรีอยุธยาเป็นหลุมขนาด 15 เซนติเมตร เนื่องจากถูกแรงระเบิดของแก๊สน้ำตา รวมทั้งทำให้รถยนต์ที่จอดอยู่บริเวณรอบรั้ว บช.น.ได้รับความเสียหาย กระจกด้านหน้ารถร้าวกว่า 10 คัน ทั้งนี้ ได้มีทหารจากกองทัพภาค ที่ 1 จำนวน 2 นาย มาตรวจสอบจุดที่เกิดเหตุ พร้อมบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน

ให้รอคำสั่งจากแกนนำพันธมิตรฯ

สำหรับบรรยากาศการชุมนุมบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ผู้ชุมนุมยังคงปักหลักฟังการถ่ายทอดการปราศรัยจากทำเนียบรัฐบาลอย่างประปราย โดยส่วนใหญ่รอฟังมติจากแกนนำว่าจะให้เคลื่อนไปสมทบยังจุดใด ส่วนการรักษาความปลอดภัยบริเวณรอบนอกทำเนียบได้เพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามาสลายการชุมนุมภายในทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้เตรียมความพร้อมหากเจ้าหน้าที่ทำการเข้าสลายด้วยการนำผ้าปิดปาก ปิดจมูก ผ้าขนหนู น้ำดื่ม รวมทั้งผ้าขนหนูที่ชุบน้ำ มาแจกจ่ายเป็นจุดๆ กระจายทั่วบริเวณที่ชุมนุม โดยเฉพาะทางประตูเข้า-ออกทำเนียบรัฐบาล เพื่อป้องกันอันตรายจากแก๊สน้ำตา

ตำรวจเตรียมกำลัง 4,500 นาย

ที่ บช.น. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. กล่าวถึงการจัดเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดูแลพื้นที่ โดยรอบอาคารรัฐสภาและกองบัญชาการตำรวจนครบาลว่า ระดมกำลังตำรวจไว้ 30 กองร้อย หรือ 4,500 นาย จากทั้ง บช.น. บช.ตชด. และหน่วยคอมมานโด กองปราบปราม นอกจากนี้ยังมีการประสานขอกำลังสนับสนุนจากกองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1, 2 และ 7 เพิ่มเติม พร้อมจัดกำลังตำรวจสกัดกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ทยอยเคลื่อนขบวนออกจากทำเนียบรัฐบาล ไม่ให้เคลื่อนไปสมทบกับผู้ชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภาด้วย พร้อมสั่งเพิ่มกำลังเสริมประตูด้านหน้าและหลัง บช.น.จำนวนหนึ่ง เพราะเกรงว่าจะมีการเคลื่อนผู้ชุมนุมมาปิดล้อม

แถลงข่าวระบุกลุ่มชุมนุมผิดกฎหมาย

ขณะเดียวกัน พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. ได้อ่านประกาศของกองบัญชาการตำรวจนครบาล เรื่องขอความร่วมมือการประชุมรัฐสภา เพื่อแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดให้มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 7 ต.ค. เวลา 09.00 น. ก่อนที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดิน ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 176 และปรากฏว่ามีกลุ่มพันธมิตรฯ ทำการปิดล้อมทางเข้าออกและถนนโดยรอบทางเข้าออกรัฐสภา โดยประกาศปิดกั้นไม่ให้สมาชิกรัฐสภาเข้าร่วมประชุม อันเป็นการขัดขวางการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งถือเป็นความผิดตามกฎหมาย การมีส่วนร่วมของประชาชน สามารถกระทำได้ด้วยการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ แต่ต้องไม่ขัดขวางการบริหารราชการแผ่นดิน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ขอชี้แจงทำความเข้าใจและขอความร่วมมือจากกลุ่มผู้ชุมนุม โปรดใช้ วิจารณญาณดำเนินการทางการเมืองให้เป็นไปตามกรอบของกฎหมาย เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจจะไม่ใช้ความรุนแรง จะดำเนินการอย่างละมุนละม่อม หวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากกลุ่มผู้ชุมนุมเป็นอย่างดี

ยันใช้แก๊สน้ำตาเพียงอย่างเดียว

พล.ต.ต.อำนวยกล่าวว่า การประเมินสถานการณ์ ของตำรวจ กลุ่มผู้ชุมนุมนำลวดหนาม ยางรถยนต์ไปขวางกลางถนน นำน้ำมันไปราดไว้ มีเจตนาเตรียมที่จะเผา เมื่อช่วงเช้าทราบว่ามีพนักงานขับรถประจำทางไปแจ้งความที่ สน.นางเลิ้ง ถูกยึดรถไป 2 คัน ไล่ผู้โดยสารลง แล้วนำรถไปปิดกั้นขวางถนนที่แยกพาณิชย์ ซึ่งถือว่าเกินกว่าสิทธิตามกฎหมาย ตำรวจจึงมีความจำเป็นต้องสลายกลุ่มผู้ชุมนุม ขณะนี้มีการตัดไฟภายในรัฐสภาแล้ว อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีความจำเป็นต้องแถลงนโยบาย ก่อนจะบริหารราชการแผ่นดิน ตำรวจต้องอำนวยความสะดวก จึงจำเป็นต้องใช้แก๊สน้ำตาเพื่อเปิดทาง ซึ่งแก๊สน้ำตาเป็นเครื่องมือสลายผู้ชุมนุมตามสากล ไม่ใช่อาวุธเพื่อใช้ทำลายกัน บางคนได้รับบาดเจ็บก็แค่ระคายเคือง บางรายอาจเกิดจากการหกล้ม เหยียบทับ โดยเฉพาะไปราดน้ำมันบนพื้นถนนยิ่งทำให้ลื่น

ตำรวจสาธิตการยิงแก๊สน้ำตา

เที่ยงวันเดียวกัน ที่กองพลาธิการและสรรพาวุธ สตช. พล.ต.ต.ภูวดร วุฑฒิกนก ผบก.กองพลาธิการ ได้เชิญสื่อมวลชล เข้าร่วมชมการสาธิตยิงแก๊สน้ำตา โดยนำปืนยิงแก๊สรุ่น 206 ที 40 ปืนยิงกระสุนแก๊สน้ำตาขนาด 40 มม. ให้เจ้าหน้าที่ยิงใส่เป้าดินน้ำมันทั้งหมด 3 นัด ปรากฏว่ากระสุนพุ่งปักติดกับเป้า จากนั้นมีควันพวยพุ่งออกมาจากตัวกระสุนทั้ง 3 นัด พล.ต.ต.ภูวดร วุฑฒิกนก ผบก.กองพลาธิการ กล่าวว่า ที่ต้องสาธิตการยิงให้ผู้สื่อข่าวดู เพื่อจะทำความเข้าใจว่า อาวุธที่ใช้เป็นแบบเดียวกันกับนานาประเทศใช้ในการสลายฝูงชน จากการสาธิตแสดงให้เห็นว่าลูกกระสุนเมื่อยิงออกไปมิได้ระเบิด จนทำให้ผู้ที่ถูกกระสุนได้รับบาดเจ็บถึงขั้นแขนขาขาดแต่อย่างใด เพียงแต่จะทำให้น้ำตาไหล แสบตา ปวดแสบปวดร้อน และจากรายงานการสลายการชุมนุมทั่วโลก ก็ไม่มีรายงานว่าผู้ถูกกระสุนได้รับบาดเจ็บถึงขั้นแขนขาขาด ทั้งนี้ เหตุผลเพราะว่าลูกกระสุนต้องยิงในมุมสูงเป็นวิถีโค้งตกลงมาก็ไม่มีน้ำหนัก เพราะความเร็วและแรงดันไม่มากพอ ระยะในการยิงออกไป ต้องใช้ระยะประมาณ 15 เมตร

ยิงแก๊สน้ำตา 20 ลูกสลายกลุ่มชุมนุม

ต่อมาเวลา 11.00 น. กลุ่มพันธมิตรฯ บริเวณถนนราชดำเนินนอก ประมาณ 100 คน ได้เคลื่อนขบวนเพื่อจะเดินทางไปยังรัฐสภา โดยมีรถกระบะวิ่งนำหน้า ขณะที่รถวิ่งมาถึงแยกพระรูปทรงม้า คนนั่งอยู่กระบะท้ายได้ขว้างระเบิดควันเข้าไปในรั้วกองบัญชาการตำรวจนครบาล 2 ลูก เสียงดังสนั่นหวั่นไหว สร้างความแตกตื่นตกใจแก่ตำรวจปราบจลาจล ที่ประจำอยู่หน้า บช.น. 2 กองร้อย วิ่งออกไปดูสถานการณ์ ปรากฏว่าถูกฝ่ายพันธมิตรใช้ หนังสติ๊กใส่ลูกแก้วและลูกเหล็กยิงเข้ามา ทำให้ตำรวจต้องใช้โล่กั้นป้องกันตัว ในขณะที่ฝ่ายพันธมิตรยังคงระดมยิงลูกเหล็กใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตำรวจปราบจลาจลต้องใช้แก๊สน้ำตายิงตอบโต้ไปกว่า 20 ลูก แต่สถานการณ์ไม่ดีขึ้น ฝ่ายพันธมิตรยังคงขว้างปาประทัด ดอกไม้ไฟใส่ตำรวจ ทำให้เกิดการปะทะกันนานกว่า 30 นาที ก่อนที่ฝ่ายพันธมิตรจะล่าถอยไปตั้งหลักบริเวณแยกมิสกวัน

กลุ่มชุมนุมเทอุจจาระลงหน้า บช.น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเหตุการณ์สงบ ตำรวจได้ปิดเส้นทางการจราจรบริเวณแยกวัดเบญจมบพิตร ถนนศรีอยุธยา หน้า บช.น. จนถึงแยก พล.1 ป้องกันไม่ให้ผู้ชุมนุมบุกเข้าไปใน บช.น. โดยตำรวจพบระเบิดควัน 1 ลูก ตกอยู่ ในสนามหญ้าข้างรั้ว บช.น.จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน โดย ต่อมา พล.ต.ต.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. ลงไปดูสถานการณ์ พร้อมสั่งเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้มากขึ้น

ต่อมากลุ่มพันธมิตรฯได้นำรถสูบส้วมของ กทม. สีเขียว ขับถอยหลังจากแยกลานพระบรมรูปทรงม้าไปยังหน้า บช.น. พร้อมกับเปิดวาล์วถังเก็บอุจจาระปล่อยสิ่งปฏิกูลไหลนองเต็มถนนจนกระทั่งหมดถัง ทำให้ถนนเจิ่งนองเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งเป็นระยะทางยาว ตั้งแต่ลานพระบรมรูปฯเรื่อยไปจนถึงหน้า บช.น.

กลุ่มชุมนุมบุกปิดล้อมรัฐสภารอบสอง

ต่อมาเมื่อเวลา 11.45 น. บริเวณแยกอู่ทองใน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 กองร้อย พร้อมรถควบคุมผู้ต้องหาประมาณ 30 คัน จอดเรียงรายอยู่บนถนนพิชัย โดยก่อนหน้านี้ ทางผู้ชุมนุมพยายามเข้ายึดประตูทางเข้ารัฐสภาแต่ถูกเจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตายิงสลายการชุมนุม จากนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้เรียกระดมพันธมิตรฯทั้งผู้หญิง ผู้สูงวัย ชายหนุ่มประมาณ 2,000 คน โดยใช้การ์ดอาสาเป็นชายฉกรรจ์จำนวน 150 คน เป็นแนวหน้า ถือไม้เบสบอลและท่อนเหล็กเป็นอาวุธครบมือ บุกเข้ายึดพื้นที่บริเวณแยกถนนพิชัยตัดถนนราชวิถีคืนเป็นครั้งที่ 2 โดยเดินหน้าบุกทะลวงฝ่าแผงเหล็กที่เจ้าหน้าที่นำมาขวางหน้าประตูทางเข้าจนพังล้มระเนนระนาด และรุมใช้ไม้เบสบอลตีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีกำลังอยู่น้อยกว่า วิ่งหนีแตกกระเจิง บางคนก็หนีได้ทัน ตำรวจที่หนีไม่ทันก็ถูกกลุ่มพันธมิตรฯรุมใช้ไม้เบสบอลตี โดยหนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นประทวนที่ล้มลงพยายามยกมือไหว้ขอร้องว่า “ กลัวแล้วอย่าทำเลย” แต่กลุ่มพันธมิตรฯไม่ฟังเสียงใช้ไม้เบสบอลกระหน่ำตีจนการ์ดอาสาบางคนต้องเข้าช่วยเหลือเอาตัวบังเจ้าหน้าที่ตำรวจรายนั้นไว้ เพราะเกรงว่าจะถูกรุมตีจนเสียชีวิต ก่อนจะถูกนำตัวออกไปด้วยร่างโชกเลือดสะบักสะบอม

ทุบกระจก-ปล่อยลมยางรถตำรวจ

สำหรับรถควบคุมผู้ต้องหาและรถตู้ของตำรวจ ที่นำไปจอดเป็นแนวบนถนนพิชัย ก็ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมทุบกระจก ปล่อยเจาะยางจนได้รับความเสียหายเกือบทั้งหมด โดยขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามขับรถฝ่าวงล้อมของกลุ่มผู้ชุมนุมออกไป ก็ถูกกล่มผู้ชุมนุมยืนขวางไม่ให้นำรถออก ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องลงจากรถยกมือไหว้ก่อนที่จะวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่กลุ่มผู้ชุมนุมที่ยังอยู่ในอารมณ์โกรธแค้น ก็วิ่งไล่เตะต่อยถีบไปตลอดทาง จนตำรวจต้องล่าถอยไปถึงถนนสุโขทัย ปล่อยให้กลุ่มผู้ชุมนุมยึดพื้นที่บริเวณนั้นไว้ได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามนำรถพยาบาลของ รพ.ตำรวจเคลื่อนออกจากจุดดังกล่าว แต่กลับถูกกลุ่มผู้ชุมนุมปิดล้อมตรวจค้นภายในรถว่ามีการแอบใช้รถพยาบาลหลบหนีหรือไม่ ก่อนจะอนุญาตให้ขับรถออกไปได้

ปชป.ลั่นต้องพิสูจน์หาอาวุธ

เมื่อเวลา 13.20 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรค พญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ ส.ส.สัดส่วน นพ.อสิ มะหะมัดยังกี ส.ส.สตูล นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้ร่วมกันแถลงข่าวภายหลังเข้าเยี่ยมผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากการสลายกลุ่มชุมนุมที่หน้ารัฐสภา โดย นพ.บุรณัชย์กล่าวว่า ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บพูดตรงกันว่า เจอวัตถุที่เหมือนกับวัตถุระเบิดที่ไม่มีควัน และสร้างบาดแผลเหวอะหวะที่เท้าทุกคน เป็นเหตุการณ์ครั้งแรกในโลกที่สลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตา แล้วมีผู้ได้รับบาดเจ็บขาขาดแขนขาดและมีบาดแผลอุกฉกรรจ์ อย่างไรก็ตาม ทางพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่าจะต้องพิสูจน์ว่ามีอาวุธสงครามหรืออาวุธหนักนอกเหนือจากอาวุธเพื่อปราบจลาจลหรือไม่ นอกจากนั้น พรรคได้ประสานกับสมาคมนิติเวชและนิติวิทยาศาสตร์ ให้สอบสวนลักษณะและสาเหตุของบาดแผล ซึ่งควรจะมีบุคคลที่เป็นกลางมา เพื่อตรวจสอบอาจจะเป็นแพทย์จาก 3 เหล่าทัพดำเนินการ

ชี้ใช้แก๊สน้ำตามากผิดปกติ

นพ.วรงค์กล่าวว่า การยิงแก๊สน้ำตามีจำนวนที่มากผิดปกติ ซึ่งการยิงเขาจะมีเทคนิคกว่านี้ แต่กรณีนี้ยิงไปที่ผู้ชุมนุม สิ่งที่รัฐบาลทำในวันนี้ทำเกินกว่าเหตุ เป็นการสลายการชุมนุมเพื่อสมานฉันท์ แต่ทำให้เกิดความเสียหายชีวิตและทรัพย์สิน ขณะที่ พญ.มาลินีกล่าวว่า เป็นเรื่องเศร้าที่ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร ในใจคิดเสมอว่าจะมี แนวทางสมานฉันท์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่มีการเตือน แต่ยิงกันเลย นี่มันยุคหินหรือเปล่า เป็นบาปในใจที่เมื่อเข้าสภาฯ ก็จะต้องนึกถึง ถ้าหากพี่น้องใครโดนก็จะรู้สึกอย่างนี้ รัฐบาลอาจจะไม่เข้าใจเพราะไม่ได้ลงพื้นที่ไปสัมผัสประชาชน จึงทำได้ถึงเพียงนี้

“ สมชาย-ลูกสาว” ดอดปีนรั้วหนี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้กล่าวคำแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ก็มีการอภิปรายและปะทะคารมกันในสภาอย่างดุเดือด ก่อนที่นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ จะสั่งปิดสภาเวลาไล่เลี่ยกันก่อนการประชุมจบลงประมาณ 10 นาที นายสมชายพร้อมด้วยนางสาวชิณณิชา วงศ์สวัสดิ์ ลูกสาว นายชูศักดิ์ ศิรินิล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคนติดตามอีก 5 คน ได้เดินทางออกจากรัฐสภา โดยใช้วิธีการปีนบันไดออกจากกำแพงด้านหลังรัฐสภา ซึ่งอีกฟากเป็นพระที่นั่งวิมานเมฆ โดยนายกฯและคณะใช้บันไดสูงประมาณ 2 เมตร ปีนข้ามออกไปอย่างเร่งรีบ โดยเจ้าหน้าที่ได้มีการนำผ้ามาหุ้มเหล็กแหลมที่รั้วเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คมบาด เมื่อนายสมชายปีนข้ามรั้วเสร็จก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจเดินทางไปยังกองบัญชาการกองทัพไทย ถนนแจ้งวัฒนะ ทันที
รองนายกฯ-รมต.เซ็งยังติดแหง็ก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่กลุ่มของนายกฯ ออกไปได้แล้วก็มีรัฐมนตรีคนอื่นๆ จะขอตามไปด้วย แต่เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังไม่อนุญาต จึงทำให้รัฐมนตรี รองนายกฯ ส.ส. ข้าราชการติดอยู่ด้านในรัฐสภาทั้งหมด และนอกจากนี้ ร้านอาหารในสภาได้ปิดร้านหมดแล้ว เหลือเพียงสหกรณ์เท่านั้นที่ยังเปิด แต่ปรากฏว่า มีผู้ต่อคิวใช้บริการจำนวนมาก ทำให้น้ำดื่ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขนม นม และอาหารที่พอประทังชีวิตค่อยๆ หมดลงทีละอย่าง

ปิดล้อมห้ามทุกคนออกจากสภา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาเวลา 14.00 น. กลุ่มผู้ชุมนุมที่รวมตัวอยู่ด้านหน้ารัฐสภากว่าพันคน ได้เคลื่อนขบวนไปยังประตูทางออกของรัฐสภา บริเวณถนนพิชัย ซึ่งเป็นจุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สลายการชุมนุมเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เพื่อไม่ต้องการให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯ ออกจากรัฐสภาได้ แต่ทั้งหมดก็ต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อนายสมชายไม่ได้เดินทางออกจากประตูดังกล่าว แต่ได้แอบปีนข้ามรั้วด้านหลังรัฐสภา ไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ออกจากรัฐสภาแล้ว ขณะเดียวกันได้มีเจ้าหน้าที่หญิงฝ่ายธุรการของรัฐสภา อายุประมาณ 40 ปี ได้พยายามปีนกำแพงจากด้านในรัฐสภาออกมาด้านนอก แต่ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมขับไล่ไม่ให้ปีนรั้วออกมา ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐสภาคนดังกล่าวถึงกับร้องไห้และถอยกับไปในที่สุด

ต่อมาเมื่อเวลา 14.30 น. กลุ่มผู้ชุมนุมหลายสิบคน ได้ช่วยกันยกรถตำรวจ 6 ล้อ ที่ใช้เป็นรถผู้ต้องขังไปติดกับบริเวณหน้าประตูประสาทเทวฤทธิ์ ปิดทางเข้าออกถาวร เพื่อไม่ให้คณะรัฐมนตรีออกมาจากในรัฐสภาได้

“ สมศักดิ์” ยังโดนขว้างด้วยขวดน้ำ

ต่อมาเวลา 15.30 น. นางรสนา โตสิตระกูล ส.ว. กทม. ได้พาผู้สื่อข่าว และช่างภาพจากด้านในรัฐสภามาที่รั้วรัฐสภา ด้านแยกถนนอู่ทองใน และราชวิถี ซึ่งใกล้กับจุดเกิดเหตุเมื่อช่วงเช้า เพื่อขอร้องให้กลุ่มพันธมิตรฯเปิดทางให้ผู้สื่อข่าวออกมาด้านนอกรัฐสภาได้ ทางกลุ่มผู้ชุมนุมก็ได้ให้นักข่าวและช่างภาพออกมาจากรัฐสภา ขณะที่นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล รมว.เกษตรฯ พยายามขอร้องกลุ่มพันธมิตรเพื่อตามนักข่าวเนชั่นออกจากรัฐสภา แต่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ยินยอม ได้ตะโกนขับไล่ และขว้างปาขวดน้ำ จนนายสมศักดิ์ต้องถอยกลับมาในที่สุด นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวยังรายงานอีกว่า ทางด้านถนนราชวิถีติดกับถนนพระราม 5 ได้มีเจ้าหน้าที่จำนวนหลายร้อยนาย ได้ตั้งกำลังพลพร้อมอาวุธครบมือ ปิดถนนเส้นดังกล่าว ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมเกิดการตื่นตระหนก เพราะกลัวว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าสลายการชุมนุมอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่กลุ่มการ์ดอาสาพันธมิตรฯจำนวนนับร้อยคน ได้วางแนวกำลังป้องกันการบุกของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างแน่นหนา

ตำรวจบาดเจ็บพ้นขีดอันตราย

เวลา 16.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานจากห้องผ่าตัดข้าราชการสนาม ชั้น 3 อาคารท่านผู้หญิงประภาศรี กำลังเอก โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ถึงอาการของ จ.ส.ต.ทวีป กลั่นเนียม ตำรวจสังกัด ผบ.หมู่ สภ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ที่ถูกคันธงแทงเข้าที่ชายโครงได้รับบาดเจ็บ จากการปะทะกับกลุ่มพันธมิตรฯที่หน้ารัฐสภาเมื่อช่วงเช้า โดยแพทย์ได้ผ่าตัดเสร็จสิ้น และนำร่างที่ยังไม่ได้สติขึ้นรถเข็นเตียงพยาบาลออกไปรักษาต่อที่ห้อง ไอซียู ไล่เลี่ยกัน พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นตัวแทน ผบ.ตร.นำกระเช้าดอกไม้มอบให้ผู้บาดเจ็บ โดยมี ด.ต.พิเชษฐ์ กลั่นเนียม พี่ชาย สังกัดกองปราบฯรับมอบแทนน้องชาย จากนั้น พล.ต.ท.วุฒิกล่าวว่า ผู้บาดเจ็บถูกแทงเข้าที่สีข้างด้านขวา ทะลุตับ ม้าม ปอด แพทย์ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 2 ชั่วโมง ตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว นอกจากนี้ยังมีตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ 10 นาย แพทย์อนุญาตให้กลับได้ 9 ราย โดยมี 1 ราย คือ ร.ต.ต.ภิญโญ สระทองอ๊อด ยังไม่ทราบสังกัด บาดเจ็บที่ใบหน้า และหลัง แพทย์ยังให้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เพื่อรอดูอาการ

ลูกเหยื่อขาขาดพร้อมลุยแทนพ่อ

ผู้สื่อข่าว จ.ชุมพร รายงานว่า สำหรับนายบัญชา บุญแก้ว ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯที่ได้รับบาดเจ็บขาซ้ายขาดจากเหตุการณ์สลายผู้ชุมนุมหน้ารัฐสภานั้น เป็นเจ้าของร้านคาราโอเกะชื่อกู๊ดบาร์ ตั้งอยู่ใน อ.เมืองชุมพร โดยนายจักรกฤษ บุญแก้ว อายุ 21 ปี ลูกชายของนายบัญชา กล่าวว่า หลังทราบข่าวพ่อได้รับบาดเจ็บขาขาดรู้สึกตกใจมาก เพราะพ่อเพิ่งเดินทางออกจาก จ.ชุมพร ไปสมทบกับกลุ่มพันธมิตรฯที่กรุงเทพฯ เมื่อตอน 3 ทุ่มคืนวันที่ 6 ต.ค. ไปถึงหน้ารัฐสภาได้เพียง 10 นาทีก็ถูกตำรวจยิงแก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุมจนได้รับบาดเจ็บถึงขั้นขาขาด ถือว่าตำรวจกระทำรุนแรงเกินไป อยากเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาแสดงความรับผิดชอบ พ่อเปรียบเสมือนเสาหลักของครอบครัว หากพิการไปใครจะมาดูแลครอบครัว ตอนนี้คิดไว้แล้วว่าหากพ่อพิการทำอะไรไม่ได้ ตนจะสืบสานเจตนารมณ์ต่อด้วยการไปเข้าร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ ผู้สื่อรายงานเพิ่มเติมว่า กลุ่มพันธมิตรฯ จ.ชุมพร ได้ทยอยเดินทางขึ้นกรุงเทพฯโดยทางรถยนต์และรถไฟจำนวนมาก

ผบ.เหล่าทัพหารือเกาะติดเหตุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ตำรวจได้สลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ปิดล้อมหน้ารัฐสภา จนทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมากนั้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ ร่วม (คตร.) ได้เดินทางเข้ากองบัญชาการกองทัพบกตั้งแต่ช่วงเช้าวันเดียวกัน เพื่อเข้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยได้เรียก พล.อ.จิรเดช คชรัตน์ รอง ผบ.ทบ. พล.อ.ธีระวัฒน์ บุญยประดับ พล.อ.วิโรจน์ บัวจรูญ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสธ.ทบ. และเจ้าหน้าที่ด้านการข่าว เพื่อวิเคราะห์ติดตามและประเมินสถานการณ์ การสลายการชุมนุม แต่ยังไม่มีคำสั่งไปยังหน่วยขึ้นตรงกับกองทัพบก เกี่ยวกับการเตรียมกำลังสนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากยังมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงสามารถควบคุมดูแลสถานการณ์ได้ จากนั้นต่อมาเมื่อเวลา 11.00 น. พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.ทหารสูงสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร. และ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงษ์ ผบ.ทอ. ได้ร่วมประชุมหารือเพื่อติดตามประเมินสถานการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น พร้อมกับร่วมรับประทานอาหารกลางวันเป็นครั้งแรก ภายหลังเข้ารับตำแหน่ง ผบ.เหล่าทัพ

ทบ.ตั้งศูนย์ติดตามสถานการณ์

ต่อมาเมื่อเวลา 11.30 น. ที่สำนักงานเลขานุการกองทัพบก พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก แถลงถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เรื่องนี้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ ได้รับมอบหมายจากนายกฯมาโดยตรง ที่ได้ พิจารณาใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจตามปกติ ซึ่งทาง ผบ.ทบ. ได้ประสานไปกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วว่า ในการปฏิบัติภารกิจเปิดช่องทางขอให้ใช้หลักสากล ไม่ก่อให้เกิดบาดเจ็บกองทัพบกรู้สึกกังวลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากผู้ ที่มาชุมนุมหน้ารัฐสภาไม่มีอาวุธ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บในหลายกรณี ก็ต้องไปพิสูจน์ทราบในโอกาสต่อไปว่าเป็นเพราะสาเหตุใด เพราะปกติการใช้แก๊สน้ำตาต่อกลุ่มผู้ชุมนุม ถือเป็นมาตรฐานสากล โดยทั่วไปเขาก็ใช้กันในลักษณะแบบนี้ แต่ปกติแล้วไม่น่าจะทำให้เกิดอันตรายจนได้รับบาดเจ็บจนถึงขนาดขาขาดได้ คงต้องตรวจสอบในเรื่องนี้ต่อไป ทั้งนี้ กองทัพบกได้มีการตั้งศูนย์คณะกรรมการเพื่อติดตามสถานการณ์ในการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยมี ผบ.ทบ.นั่งเป็นประธาน โดยในช่วงเช้าของแต่ละวันจะมีคณะกรรมการเข้ามาสรุปสถานการณ์ประจำวันให้กับ ผบ.ทบ.ได้รับทราบ ขณะที่ ผบ.เหล่าทัพก็สามารถโทรศัพท์ปรึกษาหารือกับศูนย์ฯได้ตลอด 24 ชั่วโมง

กำลังทหารพร้อมหาก ตร.ร้องขอ

เมื่อถามว่า ผบ.ทบ.ได้หารืออะไรกับ ผบ.เหล่าทัพ ถึงมาตรการที่จะดำเนินการต่อไปหากเกิดความรุนแรงหรือไม่ พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ทาง ผบ.เหล่าทัพได้มาร่วมรับประทานอาหารกัน คงจะได้มีการหารือถึงเรื่องนี้ สำหรับการเตรียมการต่อไปในข้างหน้าคงเป็นอำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อย่างไรก็ตาม หากเจ้าหน้าที่ตำรวจร้องขอมาเราก็พร้อมที่จะนำกำลังเข้าไปสนับสนุน เมื่อถามว่ากองทัพจะวางตัวเป็นกลางต่อสถานการณ์ในขณะนี้อย่างไร พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า เรื่องนี้ ผบ.ทบ.อยากให้พูดคุยปรึกษาหารือกัน แต่ก็เข้าใจถึงการทำหน้าที่ของแต่ละฝ่าย และไม่สามารถวิเคราะห์ได้ถึงสาเหตุที่ทำ ให้เกิดการบาดเจ็บ เมื่อถามว่า ทางกองทัพได้เตรียมกำลังเพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่อย่างไร พ.อ.สรรเสริญกล่าวว่า ในภารกิจประการแรกของกองทัพได้เตรียมพร้อมในเรื่องนี้อยู่แล้ว พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล เป็นหน้าที่ของกองทัพภาคที่ 1 กองพลทหารม้าที่ 2 รอ. (พล.ม.2 รอ.) และหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ (นปอ.) รวมถึงกองร้อยปราบจลาจล ซึ่งมีความพร้อมหากได้รับการร้องขอจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ปชป.ถกอีกรอบจี้ยุบสภา-ลาออก

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคประชาธิปัตย์ว่า เมื่อเวลา 14.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการประชุม ส.ส.ของพรรคอีกรอบ เพื่อประเมินสถานการณ์ทางการเมืองโดยใช้เวลาอีกเกือบ 2 ชั่วโมง นายอภิสิทธิ์ได้แถลงภายหลังการประชุมว่า จากการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดนั้น เรามีความห่วงใยว่าการตัดสินใจหลายอย่างจะนำไปสู่การลุกลามบานปลายและขณะนี้ยังตึงเครียดและล่อแหลม จึงขอแสดงจุดยืนของพรรค โดยขอให้ทุกฝ่ายยุติใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ การใช้สิทธิเสรีภาพต่างๆก็ยังต้องอยู่ภายใต้แนวทางสันติวิธี เมื่อเหตุการณ์มีความตึงเครียดและอาจลุกลามออกไปก็จะมีการคาดการณ์ หรือคาดหวังว่าการแก้ปัญหาด้วยการทำรัฐประหารจะเป็นคำตอบ ซึ่งพรรคมีจุดยืนว่าไม่สนับสนุนแนวทางดังกล่าวโดยเด็ดขาด ปฏิเสธไม่ได้ว่าการลุกลามบานปลายมาจากการตัดสินใจภายใต้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถ้ายังไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นทั้งทรัพย์สินของประชาชน หรือต่อระบอบประชาธิปไตย จะเป็นความรับผิดชอบของนายสมชายและรัฐบาลชุดนี้เต็มๆ จะด้วยการลาออกหรือยุบสภาก็แล้วแต่เพื่อปลดเงื่อนไขทั้งหมดเป็นสิ่งที่ควรกระทำ แม้จะไม่มีอะไรเป็นประกันว่าปัญหาจะจบ แต่ก็ถือว่าเป็นการคืนอำนาจให้ประชาชน

“ พัลลภ” ชี้กลุ่มชุมนุมเดือดแผน “ จำลอง”

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน และเพื่อนร่วมรุ่น จปร.7 กับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯกล่าวถึงกรณีที่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯที่หน้าอาคารรัฐสภารุนแรง ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตว่า เป็นแผนของ พล.ต.จำลอง เขาเตรียมไว้ เมื่อ พล.ต.จำลอง ถูกจับเขาก็ให้คนเข้ามาในกรุงเทพฯ และเข้ามายึดรัฐสภาเป็นแผนที่เตรียมไว้แล้ว เขาพยายามสร้างสถานการณ์ให้เหมือนเหตุพฤษภาทมิฬ คือ เมื่อ พล.ต.จำลอง ถูกจับ สถานการณ์ก็รุนแรงขึ้น แต่ขณะนี้ไม่มีคนนำ ทำให้เหตุการณ์ไม่จบแบบนั้น สมัยนั้นมีตนและ พล.ท.พิรัช สวามิวัศดิ์ เพื่อนร่วมรุ่นเขาเล่นด้วยเป็นผู้นำ แต่วันนี้ไม่มีคนทำต่อเนื่อง ทำแล้วหยุด

นายกฯหนีบลูกสาวหนีขึ้น ฮ.ตร.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.15 น. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกฯและ รมว.กลาโหม เดินทางมาถึงกองบัญชาการกองทัพไทย ด้วยเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์เบลล์ 212 ของกองบินตำรวจ พร้อมด้วยนายชูศักดิ์ ศิรินิล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคพลังประชาชน และลูกสาวนายสมชาย พล.อ.สุเมธ โพธิ์มณี หัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำ รมว.กลาโหม เมื่อเดินทางมาถึงกองทัพไทย ได้มีรถตู้ของกองทัพไทยมารอรับ และจากนั้นรถตู้ได้นำนายสมชายและคณะ หลบผู้สื่อข่าวเข้ามาชั้นใต้ดินของกองทัพไทย และขึ้นลิฟต์ไปที่ห้องประชุมชั้น 4 ของกองบัญชาการกองทัพไทย เพื่อพักผ่อนรอการประชุมร่วมกับ ผบ.เหล่าทัพในเย็นวันเดียวกัน

กลุ่มชุมนุมหลอกให้ออกแต่ไม่ยอม

ต่อมาเวลา 16.00 น. ภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยิงแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม ทางกลุ่มพันธมิตรฯได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ ด้วยการปิดทางเข้า-ออก ของ รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. ข้าราชการ และสื่อมวลชน ที่ตกค้างอยู่กว่า 500 คน พร้อมกับตีมือตบใส่รั้วรัฐสภา และตะโกนโห่ไล่เสียงดังกระหึ่ม ขณะเดียวกันได้มีการใช้หนังสติ๊กยิงลูกแก้ว และหัวนอตเข้ามาในบริเวณรัฐสภา ทำให้คนที่ออกันเพื่อจะออกจากรัฐสภาต้องวิ่งหลบกันจ้าละหวั่น โดยก่อนหน้านี้ทางพันธมิตรฯได้ประกาศบนเวทีว่าจะให้ข้าราชการและสื่อมวลชนออกจากรัฐสภา แต่ต้องแสดงบัตรทีละคน จึงมีข้าราชการวิ่งไปรอเพื่อจะออกจำนวนมาก แต่เมื่อมีเสียงระเบิดแถวพรรคชาติไทย ทำให้นายสำราญ รอดเพชร แกนนำพันธมิตรฯรุ่น 2 ประกาศยกเลิกไม่ให้มีใครออกจากรัฐสภาเด็ดขาด ขณะที่บนชั้น 2 อาคารรัฐสภา 1 พล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ รมว.มหาดไทย ได้นั่งพูดคุยหารือกับนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร นายวิทยา บูรณศิริ อดีตประธานวิปรัฐบาล ร.ต.ท.เชาวริน ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน

“ รมต.-ส.ส.-ส.ว.” เผ่นหนีตาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเสียงยิงระเบิดแก๊สน้ำตากระชั้นเข้ามาใกล้รัฐสภา และบางลูกได้ตกบนหลังคาอาคารวุฒิสภา ทำให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต้องคุ้มกันอารักขาบุคคลสำคัญ อาทิ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา พ.อ.อภิวันท์ น.ส.ทัศนา บุญทอง รองประธานวุฒิสภา บรรดารัฐมนตรี อาทิ นายศรีเมือง เจริญศิริ รมว.ศึกษาธิการ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.วัฒนธรรม นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รมต.ประจำสำนักนายกฯ นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ รมช.พาณิชย์ ส.ส. และ ส.ว. เกณฑ์ไปยังด้านหลังอาคารรัฐสภา เพื่อปีนรั้วข้ามไปยังฝั่งพระที่นั่งวิมานเมฆอย่างฉุกละหุก โดยมีเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังที่ประจำอยู่ที่พระที่นั่งวิมานเมฆมาคอยอำนวยความสะดวก และท่ามกลางความชุลมุนและกลุ่มควันจากแก๊สน้ำตาที่ยังหลงเหลืออยู่ในบริเวณประตูทางออกประสาทเทวฤทธิ์ ถนนราชวิถี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้คีมตัดโซ่ที่ล็อกประตูเปิดออก ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐสภาและสื่อมวลชนวิ่งทยอยออกมาด้วย โดยใช้ผ้าชุบน้ำปิดปากป้องกันแก๊ส ซึ่งหน้าประตูมีรถบัสของตำรวจนครบาล จำนวน 3 คัน จอดรอรับอยู่ และรับไปส่งที่ห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี

บช.น.ป่วนโดนปิดน้ำ-ตัดไฟ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.30 น. วันเดียวกัน พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รอง ผบช.น. พ.ต.อ.ณภัทร จุลละบุษปะ รอง ผบก.อก.บช.น. พร้อมกำลัง ตชด.นำลวดมาตั้งแนวกั้นไว้ที่ประตูด้านหน้ากองบัญชาการตำรวจ นครบาล เพื่อรับมือกับกลุ่มพันธมิตรฯ โดยกำหนดแนวลวดหนามไว้ 3 ชั้น แต่ละชั้นมีตำรวจ ปจ. สังเกตการณ์ป้องกันกลุ่มพันธมิตรฯบุกรุกเข้ามาภายใน ต่อมามีกลุ่มพันธมิตรฯ ขี่รถ จยย. 2 คน โดยคนซ้อนท้ายได้ใช้กุญแจขนาดใหญ่หมุนวาล์วน้ำอยู่ที่รั้วด้านนอกของ บช.น. แล้วพังแกนหมุนน้ำเสียหาย จากนั้นชายคนดังกล่าวได้พยายามขึ้นไปตัดสายไฟ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาการณ์อยู่ประตูด้านหน้าเห็น จึงวิ่งเข้าไปจับกุม แต่ทั้งคู่ขี่ จยย.หลบหนีได้ทัน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประสานกับการประปานครหลวง ให้มาซ่อมก๊อกน้ำที่ชำรุด

ใช้รถบัสตำรวจรับส่งเจ้าหน้าที่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของการปะทะกันโดยรอบรัฐสภา ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับกลุ่มพันธมิตรฯ ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลา 16.00 น. เจ้าหน้าที่ได้ใช้แก๊สน้ำตาเพื่อสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ปิดถนนราชวิถี ตั้งแต่แยกพิชัย แยกการเรือนไปจนถึงแยกกรุงธน เพื่อหาทางเปิดเส้นทางให้ ส.ส.และส.ว. รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐสภาออกมา โดย พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบช.น. เข้าไปเจรจากับนายวีระ สมความคิด แกนนำพันธมิตรฯ เพื่อขอร้องให้เปิดเส้นทางดังกล่าว แต่นายวีระอ้างว่าเป็นเรื่องใหญ่ ต้องหารือกับแกนนำทั้งหมดก่อน สร้างความไม่พอใจแก่กลุ่มพันธมิตรฯเป็นอย่างมาก ถึงกับใช้ขวดน้ำขว้างปาใส่เจ้าหน้าที่ จนเกิดการชุมนุมขึ้น ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่ม พันธมิตรฯ ในขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯก็ใช้ก้อนหิน ขวดน้ำและยิงลูกแก้วใส่ตำรวจเป็นชุดๆ ก่อนจะวิ่งหนีแตกกระเจิง ทำให้เจ้าหน้าที่เข้ายึดแยกการเรือนและแยกพิชัยไว้ได้สำเร็จ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำรถบัสของตำรวจปราบจลาจล เข้าไปรับเจ้าหน้าที่ที่ติดค้างอยู่ภายในรัฐสภาออกไป พร้อมกับยิงแก๊สน้ำตาสกัดไว้เป็นระยะๆ นอกจากนั้นยังมีเสียงปืนดังขึ้นเป็นชุดๆ ในขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ วิ่งหนีหลบเข้าไปอยู่ในสวนสัตว์ดุสิต ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเพราะวิ่งหกล้มหลายสิบคน

ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 11 นาย

พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. กล่าวว่า จากเหตุการณ์สลายกลุ่มผู้ชุมนุมที่แยกพิชัย หน้ารัฐสภา เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 11 นาย โดยเข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า 1 นาย คือ ส.ต.อ. ทวีป กลั่นเนียม อายุ 42 ปี จ.นครปฐม ถูกแทงด้วยของมีคมที่บริเวณกลางลำตัวทะลุหลัง อาการสาหัส ส่วนที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจมี 10 นาย คือ 1. ร.ต.ต. ภิญโญ สระทองอ๊อด อายุ 42 ปี สภ.บางเลน จ.นครปฐม บาดเจ็บบริเวณหลังและใบหน้า 2. ส.ต.อ.เชษฐา ปานยั่งยืน อายุ 32 ปี สภ.กำแพงแสน จ.นครปฐม บาดเจ็บที่ศีรษะ แขนขวาไหล่ขวา 3. ส.ต.อ.ประวิทย์ เวียนทอง อายุ 36 ปี บาดเจ็บต้นคอ ต้นขาข้อศอกขวาถลอก 4. จ.ส.ต.อภิสิฏฐ์ เนียมพันธุ์ อายุ 36 ปี บาดเจ็บศีรษะ แขนซ้าย 5. ส.ต.อ. อเนก ด้วยประดิษฐ์ อายุ 34 ปี บาดเจ็บขาซ้าย 6. ส.ต.อ. มานพ จันทร์ศร อายุ 34 ปี บาดเจ็บศีรษะ แขนขวา ไหล่ขวา 7. จ.ส.ต.แดนเดือน พึ่งพิพัฒน์ อายุ 38 ปี บาดเจ็บที่ข้อมือขวา 8. ด.ต.ขวัญชัย ทองเกิด อายุ 37 ปี สภ. พุทธมณฑล จ.นครปฐม บาดเจ็บขาขวา 9. ส.ต.อ.สุนทร เชียงเคือ อายุ 37 ปี สภ.โพธิ์แก้ว จ.นครปฐม บาดเจ็บบริเวณหลัง และ 10. ด.ต.ลอนดร ดวงกลางใต้ อายุ 39 ปี สภ.หนองปรือ จ.กาญจนบุรี บาดเจ็บเข่าขวา

กลุ่มชุมนุมเตรียมระเบิดเพลิงก่อเหตุ

พล.ต.ต.อำนวยกล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่มีการเจรจากับแกนนำของกลุ่มผู้ชุมนุมแล้ว แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ การที่กลุ่มผู้ชุมนุมไปปิดล้อมที่บริเวณรัฐสภาเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เนื่องจากบุคคลเหล่านี้เป็นตัวแทนที่ถูกเลือกมาจากประชาชน เจ้าหน้าที่พยายามใช้ความละมุนละม่อมขอร้องกลุ่มผู้ชุมนุมอย่าพยายามก่อเหตุ ขณะนี้พบว่ากลุ่มผู้ชุมนุมได้เทน้ำมันลงบนพื้นถนนเป็นวงกว้าง อีกทั้งทำระเบิดเพลิง จำนวน 200 ขวด เพื่อเตรียมไว้ก่อเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง อยากวิงวอนให้แกนนำยุติการใช้ความรุนแรง ที่กลุ่มผู้ชุมนุมอ้างว่าชุมนุมด้วยความสงบปราศจากอาวุธ แต่ถึงขณะนี้มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายจำนวนหลายสิบนาย เจ้าหน้าที่เตรียมรวบรวมพยานหลักฐาน โดยเฉพาะภาพถ่ายที่กลุ่มผู้ชุมนุมทำร้ายเจ้าหน้าที่จนได้รับบาดเจ็บสาหัส และเตรียมแจ้งข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่ ขณะเดียวกัน กลุ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา สามารถแจ้งความข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวได้เช่นกัน หากกลุ่มผู้ชุมนุมยังคงก่อเหตุ สำหรับการใช้แก๊สน้ำตานั้นเจ้าหน้าที่จะประเมินสถานการณ์แต่ละช่วงและเชื่อว่าเหตุการณ์จะไม่บานปลาย

สั่งรักษาที่ตั้ง บช.น.หวั่นถูกเผา

พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ได้เรียกประชุมนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ประกอบด้วย พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต ที่ปรึกษา (สบ 10) เทียบเท่า รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.ก. พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผบช.ส. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. และ พล.ต.ต. อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. โดย พล.ต.อ.พัชรวาทมีคำสั่งให้วางกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปราบปรามจลาจลของ บช.ตชด. 1 กองร้อย ตรึงกำลังโดยรอบ บช.น. เพื่อรักษาที่ตั้งของ บช.น.ไว้ให้ได้ เนื่องจากหน่วยข่าวระบุว่ามีความพยายามลอบวางเพลิงเผา บช.น. เพื่อทำให้สถานการณ์บานปลายออกไป โดยมีคำสั่งให้จัดชุดสืบสวนนอกเครื่องแบบ หาข่าวกับกลุ่มผู้ชุมนุม และตรวจสอบอุปกรณ์เชื้อเพลิง

สันติบาลคุมสถานการณ์ไม่อยู่

พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผบช.ส.กล่าวว่า จากการประเมิน น่าจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ เพราะเป็นช่วงเวลาใกล้ค่ำ ฝ่ายพันธมิตรฯต้องการเอาชนะ น่าจะใช้มืออาชีพเข้ามาทำเพื่อให้สถานการณ์รุนแรง คิดว่าจะมีความสูญเสียมากทั้ง 2 ฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายประชาชน ผู้ชุมนุมจะได้รับบาดเจ็บจากการจงใจสร้าง สถานการณ์และยัดเยียดว่าตำรวจเป็นฝ่ายกระทำ สร้างความโกรธแค้นและยั่วยุให้เกิดการเคลื่อนไหวให้มากขึ้นเพื่อดึงมวลชนออกมา มีตัวอย่างช่วงเช้าที่มีสะเก็ดระเบิด ประชาชนได้รับบาดเจ็บ เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เป็นฝีมือของคนที่ไม่หวังดี ทำให้เกิดความโกรธแค้นและเคลื่อนไหวก่อความวุ่นวาย หากเจ้าหน้าที่ไม่สามารถควบคุมสถาน การณ์ให้เรียบร้อยภายในสิ้นแสงตะวัน จะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้

ตำรวจโดนกลุ่มชุมนุมตีหัวเลือดโชก

ต่อมาเวลา 15.30 น. พล.ต.ต.เอกรัฐ มีปรีชา รอง ผบช.น. ได้เดินทางมาเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมตรงบริเวณหน้าสถาบันราชภัฏสวนดุสิต หน้าชุมชนสวนอ้อย เพื่อขอร้องให้ผู้ชุมนุมเปิดทางให้ผู้ที่ติดค้างในอาคารรัฐสภา ส่วนใหญ่เป็น จนท.และสื่อมวลชน เดินทางออกโดยสวัสดิภาพ แต่กลุ่มผู้ชุมนุมปฏิเสธข้อเรียกร้องดังกล่าว กระทั่งเวลา 16.10 น. ทางตำรวจกองกำลังผสม 2 กองร้อยจำนวน 300 นาย ได้เริ่มยิงแก๊สน้ำตาอีกระลอก เพื่อเคลียร์ เส้นทางตั้งแต่หน้าราชภัฏสวนดุสิตไปตามถนนราชวิถี แยกการเรือน ไปจนถึงแยกอู่ทองใน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ทราบชื่อคือ ดาบตำรวจณัฐนนท์ ศุภมงคลเจริญ ที่โดนตีด้วยของแข็งที่ท้ายทอยจนเลือดโชก ส.ต.ต.จักรพงษ์ แท่งทองหลาง โดนตีที่มือซ้าย และอีกหนึ่งนายไม่ทราบชื่อ ซึ่งขณะที่การเคลียร์เส้นทางนั้นมีกลุ่มพันธมิตรฯจำนวนหนึ่งได้หลบเข้าไปในศูนย์พัฒนาทุนมนุษย์ ม.ราชภัฏสวนดุสิต ที่อยู่ฝั งตรงข้าม และทุบกระจกเข้าไปหลบแก๊สน้ำตาในตัวอาคาร ตำรวจพยายามเข้าเคลียร์กลุ่มคนพวกนี้ออกมา

เกิดเหตุรถระเบิดหน้าพรรคชาติไทย

ต่อมาเมื่อเวลา 16.00 น. ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่หน้าพรรคชาติไทย บริเวณฟุตปาทถนนสุโขทัย เป็นเหตุให้รถจี๊ปเชโรกี สีขาว หมายเลขทะเบียน พต 4755 กรุงเทพมหานคร จนหลังคารถฉีกขาด ตัวถังรถและประตูพังยับเยิน เศษชิ้นส่วนภายในรถปลิวกระจัดกระจาย นอกจากนี้ ยังมีชิ้นเนื้อและมันสมองกระจายเกลื่อนถนน พร้อมกับเปลวไฟลุกท่วมคันรถ กลุ่มพันธมิตรฯซึ่งรวมกลุ่มกันอยู่บริเวณแยกขัตติยานีห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 10 เมตร ต่างตกใจแตกตื่นวิ่งหนี ผู้นำกลุ่มร้องเตือนห้ามไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าไปใกล้ เพราะเกรงว่าจะมีระเบิดซ่อนอยู่อีกลูก

ตำรวจรวบกลุ่มชุมนุมพันธมิตรฯไปสอบ

ต่อมา พ.ต.ท.สุรศักดิ์ สิงหาไกร พนักงานสอบสวน สน.ดุสิต ไปตรวจสอบพร้อมนำรถดับเพลิงไปฉีดสกัดไฟ โดยมีเสียงแก๊สจากถังรถระเบิดตามมา เบื้องต้นพบผู้เสียชีวิตเป็นชายนอนตะแคงอยู่พื้นถนนข้างประตูด้านซ้ายของรถ สภาพเสื้อผ้าไหม้เกรียมไปหมด ลำตัวท่อนบนดำเป็นตอตะโก ศีรษะเปิดมันสมองกระจาย จึงประสานแพทย์ รพ.รามาธิบดี เจ้าหน้าที่สรรพาวุธและกองพิสูจน์ หลักฐานไปตรวจสอบ พร้อมเคลียร์พื้นที่ เนื่องจากเกรงว่าจะมีระเบิดซุกซ่อนอยู่อีก พบสภาพศพโดนแรงอัดระเบิดร่างกายแหลกเหลว ขาขวาขาด ยังไม่ทราบว่าใคร จากการตรวจสอบรถคันดังกล่าว ทราบว่าเจ้าของคือนายพิศ งามจิตร อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที่ 58/21 ซอยโชคชัย ร่วมมิตร แขวงจอมพล เขตจตุจักร กทม. โดยในวันนี้นายชัยวัฒน์ งามจิตร อายุ 54 ปี บิดา อยู่บ้านเลขที่ 250 ต.ในเมือง อ.เมืองนครราชสีมา ขอยืมรถมาร่วมชุมนุม กับกลุ่มพันธมิตรฯ ขับรถไปจอดที่จุดเกิดเหตุประมาณ 15.47 น. หลังจากนั้นนายชัยวัฒน์พร้อมภรรยาก็เดินทางไปร่วมชุมนุมที่ถนนพิชัย กระทั่งต่อมา เวลา 15.58 น. เกิดเหตุระเบิดขึ้นดังกล่าว ทั้งนี้เจ้าหน้าที่กองสรรพาวุธระบุว่า ระเบิดน่าจะเกิดขึ้นจากภายในรถ คาดว่าจะอยู่บริเวณคอนโซลหน้า โดยภายหลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้ล็อกตัวนายชัยวัฒน์ไปสอบปากคำทันที ในขณะที่ผู้ตายคาดว่าน่าจะเดินผ่านมาขณะเกิดเหตุพอดี

เสียงปืนปริศนาดังหลายนัด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 17.00 น. ตำรวจสามารถเคลียร์เส้นทางประตูแดง ถนนราชวิถี ให้ ส.ส. ส.ว.เจ้าหน้าที่รัฐสภาและสื่อมวลชนที่อยู่ในรัฐสภา ได้เดินทางออกมา โดยตำรวจได้จัดรถบัสจำนวน 3 คัน ขนเจ้าหน้าที่ออกไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 17.45 น. ทางผู้ชุมนุมได้ ฮือกลับเข้ามาใหม่ในจุดเดิม โดยใช้ลูกหิน ลูกแก้ว หัวนอต และอิฐตัวหนอนปาใส่ตำรวจ ตามด้วยเสียงดังคล้ายอาวุธปืนดังขึ้นหลายนัด ทำให้ตำรวจต้องถอยร่นออกไป และกลุ่มผู้ชุมนุมกลับไปยึดบริเวณประตูทางออกรัฐสภา แยกอู่ทองในได้อีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม ในการยิงแก๊สน้ำตาในรอบนี้ ทำให้มีเด็กชายอายุ 3 ขวบถูกสะเก็ดระเบิดแก๊ส น้ำตาจนหัวแตก เจ้าหน้าที่พยาบาลได้นำส่งโรงพยาบาลวชิระแล้ว นอกจากนั้นที่บริเวณแยกอู่ทอง พบรถตำรวจหลายคันถูกทุบตีกระจกแตกกระจาย ได้รับความเสียหาย วิทยุสื่อสารถูกดึงปลั๊ก และถอดระบบสตาร์ต ออกทั้งหมด

กลุ่มชุมนุมเดือดขับปิกอัพไล่ชนตำรวจ

ต่อมาเวลา 17.30 น. ขณะที่กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตรึงกำลังอยู่บนถนนอู่ทองใน และแยกประตูปราสาทเทวฤทธิ์ ปรากฏว่ากลุ่มผู้ชุมนุมที่โกรธแค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้รื้ออิฐตัวหนอนบนฟุตปาทมาขว้างปาใส่ตำรวจ พร้อมกับระดมยิงลูกแก้วใส่ เจ้าหน้าที่ต้องหลบพัลวันและร่นถอย ทำให้เหลือกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาความปลอดภัยหน้าแยกพิชัยประมาณ 10 กว่านาย แต่ไม่มีอาวุธ ทำให้กลุ่มพันธมิตรฯจำนวนมากฮือไล่ต้อนเจ้าหน้าที่ตำรวจจนต้องวิ่งหนี จังหวะนั้นได้มีคนขับรถกระบะโตโยต้า ไทเกอร์ สีน้ำเงินเทา ยกล้อสูงแบบโฟร์วีลหมายเลขทะเบียน วพ 1968 คนขับสวมเสื้อยืดสีขาว หมวกกันน็อกสีดำ ขับพุ่งใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่หน้าประตูทางเข้าพระที่นั่งวิมานเมฆ เสร็จแล้วเบรกขับถอยหลังทับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกชนบาดเจ็บซ้ำ ก่อนจะหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว โดยเจ้าหน้าที่พยายามยิงสกัด แต่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ ก่อนที่หน่วยกู้ภัยจะเข้าไปช่วยเหลือลำเลียงตำรวจที่บาดเจ็บส่ง รพ.เป็นการด่วน

เคลียร์ จนท.-นักข่าวออกจากสภาฯ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลา 18.00 น. เจ้าหน้าที่รัฐสภาได้เคลียร์เจ้าหน้าที่และสื่อมวลชน ที่ยังตกค้างอยู่ภายในรัฐสภา ออกจากพื้นที่ทั้งหมด โดยให้ปีนกำแพงด้านหลัง ข้ามไปยังฝั่งพระที่นั่งวิมานเมฆ จนภายในรัฐสภาเหลือแต่เพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสภา อยู่คอยรักษาการณ์เท่านั้น

วอนทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรง

วันเดียวกัน สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติความรุนแรง และตั้งสติแก้ปัญหาในภาวะวิกฤติ โดยมีเนื้อหาระบุว่า ตามที่กลุ่มพันธมิตรฯเข้าชุมนุมปิดล้อมบริเวณหน้ารัฐสภา เพื่อไม่ให้คณะรัฐมนตรีมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้แก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุม เพื่อเปิดทางให้คณะรัฐมนตรีและส.ส.เข้าไปประชุมรัฐสภาได้ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก จนการชุมนุมประท้วงได้ขยายวงกว้างขึ้น ในที่สุดเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าสลายการชุมนุมอีกหลายครั้ง จนทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บเพิ่มขึ้น สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯมีความเป็นห่วงอย่างยิ่งว่า การใช้กำลังในการสลายการชุมนุมและการตอบโต้ของกลุ่มพันธมิตรฯ จะทำให้สถานการณ์ยิ่งบานปลายจนไม่อาจ แก้ไขได้ ทางสมาคมฯขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติการใช้ความรุนแรง หยุดการเคลื่อนไหว เพื่อตั้งสติทบทวนท่าทีและหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติ อนึ่ง ในเหตุการณ์ ครั้งนี้มีผู้สื่อข่าวจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติหน้าที่ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ มีความ กังวลและห่วงใยในความปลอดภัยของนักข่าวทุกคน และขอให้นักข่าวปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง

พธม.เผาโลงศพประท้วงนายกฯ

ช่วงเย็นวันเดียวกัน ที่ลานจอดรถโรงภาพยนตร์ เฉลิมชัยรามา เขตเทศบาลตำบลหลังสวน อ.หลังสวน จ.ชุมพร กลุ่มพันธมิตรฯหลังสวนประมาณ 100 คน ร่วมชุมนุมประท้วงกระทำของตำรวจที่ใช้กำลังสลายการชุมนุมหน้ารัฐสภา โดยได้ตั้งเวทีปราศรัยโจมตีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ด้วยถ้อยคำรุนแรง พร้อมเผาโลงศพจำลอง เขียนข้อความข้างโลงว่า “ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มรณะ 7 ตุลาคม 2551” จากนั้นได้เดินรณรงค์ เชิญชวนประชาชนในพื้นที่ไปร่วมสมทบกับกลุ่มพันธมิตรที่กรุงเทพฯ โดยนายจิณณาวัฒน์ สินลอย แกนนำพันมิตรฯ จ.ชุมพร กล่าวว่า ขณะนี้มีพ่อค้าประชาชนในพื้นที่บริจาคเงินเหมารถทัวร์ รถโดยสาร รับสมาชิกและประชาชนมุ่งหน้าขึ้นไปสมทบกับกลุ่มพันธมิตรฯที่กรุงเทพฯ อย่างไม่อั้น สามารถไปขึ้นรถได้ตลอด 24 ชม. ที่บริเวณสถานีรถไฟชุมพร ที่ผ่านมามีรถบัสรับประชาชนเดินทางไปแล้วกว่า 10 คัน

รอง ผบ.ตชด.โดนท่อนเหล็กล้มทั้งยืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 18.50 น. ที่ บช.น. พล.ต.ต.โกสินทร์ บุญสร้าง รอง ผบช.ตชด. ได้เดินเข้าไปในแนวรั้วลวดหนามที่กั้นไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าไปหน้า บช.น. เพื่อขอเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างสันติ แต่ปรากฏว่าตกลงกันไม่ได้ ขณะที่ พล.ต.ต.โกสินทร์หันหลังกลับ กลุ่มพันธมิตรฯได้ขว้างท่อนเหล็กมาโดนศีรษะ พล.ต.ต. โกสินทร์ จนล้มฟุบลงกับพื้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ ปจ.ที่เห็นผู้บังคับบัญชาถูกทำร้าย จึงยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้ชุมนุม ทำให้กลุ่มพันธมิตรฯต้องวิ่งหนีแตกกระเจิง ก่อนจะล่าถอยไปตั้งหลักที่แยกมิสกวัน สำหรับอาการ พล.ต.ต.โกสินทร์ แพทย์นำตัวไปปฐมพยาบาลที่ บช.น. พบว่ามีอาการฟกช้ำที่ต้นคอ ซึ่งต้องตรวจอาการอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยพล.ต.ต.โกสินทร์เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ขณะที่จะเข้าไปเจรจาเพื่อให้กลุ่มพันธมิตรฯกลับไปทำเนียบรัฐบาล โดยพูดผ่านรั้วลวดหนามที่กั้นไว้บนถนน แต่เมื่อหันกลับมาคุยกับลูกน้อง ก็มีท่อนเหล็กขว้างลอยมาถูกศีรษะจนล้มทั้งยืน

ต่อมา พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น. เปิดเผยว่า เมื่อฝ่ายพันธมิตรฯมีจุดมุ่งหมายบุกมาเผา บช.น. ก็ยอมไม่ได้ ต้องป้องกันพื้นที่ไว้อย่างเต็มที่ แก๊สน้ำตาไม่สามารถทำให้ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นสาหัสได้ แพทย์สามารถชี้แจงได้ ขณะนี้ต้องรอตรวจสอบก่อน ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมกลุ่มชุมนุมถึงเลือกมาบุกที่ บช.น. พล.ต.ท.สุชาติตอบว่า แกนนำกลุ่มชุมนุมคงจะเป็นผู้สั่งดำเนินการ ต่อข้อถามว่า ได้ประสานงานกับฝ่ายทหารหรือไม่ ผบช.น.ตอบว่า ขณะนี้มีกำลังตำรวจเพียงอย่างเดียวคงเหนื่อย แต่ก็จะดูแลให้ดีที่สุด

ผบ.ทบ.ยืนยันทหารไม่คิดปฏิวัติ

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วม (คตร.) ให้สัมภาษณ์ ทางโทรศัพท์ถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯว่า เมื่อเวลา 19.00 น. ที่ผ่านมา ได้ประสานงานไปยัง พล.ร.อ. กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร. และพล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงษ์ ผบ.ทอ. เพื่อขอให้จัดส่งกำลังทหารเข้าไปช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการควบคุมสถานการณ์ เพราะไม่ต้องการให้เหตุการณ์บานปลาย การอออกไปควบคุมสถานการณ์ ของทหารในครั้งนี้ จะไม่ใช้ความรุนแรง และจะใช้เพียงโล่และกระบองเท่านั้น

“ การส่งทหารออกไปไม่ได้ออกไปทำการปฏิวัติ ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกตกใจ หรือหวาดวิตกกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะถึงอย่างไรทหารจะไม่ทำการปฏิวัติอย่างแน่นอน การทำปฏิวัติไม่ได้ส่งผลดีกับชาติบ้านเมือง การทำปฏิวัติไปแล้วก็ไม่ได้อะไร การทำการปฏิวัตินั้นไม่ยาก แต่การที่จะทำให้บ้านเมืองอยู่ได้หลังการปฏิวัตินั้นเป็นสิ่งที่ยากกว่า ดังนั้น เหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่บ่งบอกให้รู้ว่า การปฏิวัติไม่ส่งผลดีอะไรเลยต่อชาติบ้านเมือง” พล.อ.อนุพงษ์กล่าว

ยอดรวมคนเจ็บส่ง รพ.เกือบ 400

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสถานการณ์ที่เริ่มรุนแรงมากขึ้น และเกิดปะทะกันระหว่างตำรวจกับผู้ชุมนุม ที่เกิดขึ้นเป็นช่วงๆอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน ล่าสุดมีรายงานจากศูนย์กู้ชีพนเรนทรว่า ยอดรวมผู้บาดเจ็บจนถึงเวลา 20.56 น. มีผู้บาดเจ็บทั้งสิ้น 381 ราย โดยส่งไปรักษาตัวที่ รพ.วชิรพยาบาล 160 ราย ซึ่งมีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีรวมอยู่ด้วย 3 คน รพ.กลาง 8 ราย รพ.รามา 72 ราย รพ.จุฬาฯ 9 ราย รพ.ศิริราช 53 ราย รพ.พระมงกุฎฯ 48 ราย รพ.ตำรวจ 15 ราย รพ.มิชชั่น 1 ราย และ รพ.เลิดสิน 3 ราย

ล่าสุดเมื่อเวลา 21.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการชุมนุม บริเวณหน้าลานพระบรมรูปทรงม้าว่า มีกลุ่มพันธมิตรฯประมาณ 200-300 คน ยืนจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวัน ส่วนที่อื่นๆ เช่น ที่หน้ารัฐสภา หน้า บช.น. หรือบนเส้นทางโดยรอบรัฐสภา ที่เคยคลาคล่ำไปด้วยผู้ชุมนุมเมื่อตอนกลางวัน ถึงตอนนี้ไม่มีกลุ่มพันธมิตรฯหลงเหลืออยู่เลย ทั้งหมดกลับเข้าไปชุมนุมกันอยู่ภายในทำเนียบรัฐบาลกันหมด

กลุ่มชุมนุมเฮกลับเข้าที่ตั้งในทำเนียบฯ

สำหรับบรรยากาศที่ทำเนียบฯ และเวทีปราศรัยสะพานมัฆวานรังสรรค์ ในช่วงค่ำ มีกลุ่มผู้ชุมนุมทยอยเดินทางเข้ามาสมทบอย่างหนาแน่น โดยพื้นที่ภายในทำเนียบส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มผู้ชุมนุมสูงอายุและเด็ก ส่วนรอบนอกมีคนทุกวัยกระจายกำลังกันเฝ้าระวังพื้นที่ ไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้าสลายการชุมนุม ทุกประตูเข้าออกมีการ์ดพร้อมไม้เป็นอาวุธ ยืนตรวจตราอย่างเข้มงวด บรรดาผู้ชุมนุมต่างนั่งพักผ่อนเอาแรงและรับประทานอาหาร หลังจากช่วงกลางวันต้องออกไปผจญกับแก๊สน้ำตา ขณะที่บนเวทีปราศรัยทั้งสองเวที ยังเน้นการพูดโจมตีการทำหน้าที่ของตำรวจ ที่ใช้แก๊สน้ำตาสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภาและหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล จนมีคนได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยระบุว่า ตำรวจจงใจยิงปืนใส่ประชาชน แทนที่จะยิงขึ้นฟ้า จึงทำให้มีคนบาดเจ็บมาก พร้อมทั้งเรียกร้องให้ออกมาชุมนุมกันให้มากขึ้น ขณะที่กลุ่มศิลปินเพื่อประชาธิปไตย นำโดยหงา คาราวาน ได้ขึ้นเวทีอ่านแถลงการณ์ประกาศจุดยืน พร้อมกับประณามนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ที่ใช้ความรุนแรงกับกลุ่มผู้ชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ

พันธมิตรฯฮือล้อมรถสื่อมวลชน

ต่อมาเวลา 20.00 น. ขณะที่ผู้สื่อข่าวของไทยทีวีสีช่อง 3 กำลังรายงานข่าวอยู่บริเวณด้านข้างทำเนียบรัฐบาล ฝั่งคลองผดุงกรุงเกษมอยู่นั้น ได้มีกลุ่มพันธมิตรฯบางส่วนที่เดินทางกลับจากชุมนุมที่หน้ารัฐสภา พร้อมด้วยการ์ดพันธมิตรฯบางส่วน ได้กรูเข้ามาปิดล้อมห้ามไม่ให้เสนอข่าว โดยอ้างว่ารายงานข่าวบิดเบือน พร้อมกับขับไล่ให้ออกจากสถานที่ชุมนุม ขณะเดียวกัน ช่างภาพของโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ที่จอดรถอยู่ด้านข้างได้นำกล้องมาบันทึกภาพ ได้ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมต่อว่าและห้ามบันทึกภาพ พร้อมกับขับไล่ให้ออกจากที่ชุมนุมเช่นกัน จนเกิดการต่อล้อต่อเถียง ทำให้บนเวทีที่กำลังมีการอภิปรายอยู่ โฆษกได้ประกาศห้ามผู้ชุมนุมทำร้าย และยุ่งเกี่ยวกับการเสนอข่าวของสื่อมวลชน และได้ส่ง เก๋-กมลพร ซึ่งเป็นหนึ่งในโฆษกพันธมิตรฯ เข้าเจรจาห้ามกลุ่มผู้ชุมนุมจนเหตุการณ์สงบลง แต่อย่างไรก็ตามรถโมบายพร้อมด้วยทีมงานของช่อง 3 และไทยพีบีเอส ได้ขับออกจากที่ชุมนุมเพื่อความปลอดภัย

กลุ่มชุมนุมพันธมิตรฯหญิงตายอีก 1

ต่อมาในช่วงค่ำ รศ.นพ.ธันย์ สุภัทรพันธ์ ผอ.รพ.รามาธิบดี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ขณะนี้ทราบรายชื่อผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย คือ นางอังคนา ระดับปัญญาวุฒิ อายุ 25 ปี เสียชีวิตเนื่องจากถูกกระแทกจากของแข็งบริเวณหน้าอกด้านซ้ายอย่างรุนแรงทำให้เสียชีวิต นอกจากนี้มี ผู้บาดเจ็บสาหัสที่รับการรักษาในห้องผ่าตัด จำนวน 4 ราย ซึ่งมีอาการกระดูกหัก 3 คน บริเวณต้นขา และอีก 1 คน มีแผลบาดเจ็บที่คอ ซึ่งทราบชื่อเพียง 1 คน คือ นายสุขสันต์ เจริญกิจตระกูล อายุประมาณ 30 ปี ไม่มีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมาแสดงความรับผิดชอบ มีเพียงเจ้าหน้าที่ของสำนักราชเลขาธิการมาดูแลตลอดเวลา นอกจากนี้ สรุปยอดผู้บาดเจ็บจากศูนย์เอราวัณ จำนวน 381 คน นอนโรงพยาบาล 48 ราย ขาขาด 4 ราย นิ้วขาด 2 ราย กำลังผ่าตัด 10 ราย

Truehits.net