สตช.เปิดซีดีแฉทีม “ หมอพรทิพย์” ชันสูตรศพสึนามิไร้มาตรฐาน
พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช
พล.ต.ท.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในฐานะหัวหน้าศูนย์พิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลและการส่งกลับ (ทีทีวีไอ)พร้อมด้วย พล.ต.ท.อัมรินทร์ เนียมสกุล ผบช.สนว.และพ.ต.อ.พรประเสริฐ กาญจนบรินทร์ ผกก.ตำรวจสากล แถลงข่าวเพื่อแก้ข้อครหาที่ผ่านมา ทั้งเรื่องไม่ลงพื้นที่ช่วยผู้ประสบภัย การเบิกจ่ายค่าผ่าพิสูจน์ศพสึนามิ ซึ่ง พล.ต.ท.อชิรวิทย์ ย้ำว่า สตช.จัดส่งกำลังกว่า 2,000 นาย ลงพื้นที่เพื่อสำรวจและให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยตั้งแต่วินาทีแรกที่เกิดเหตุ และทำงานในลักษณะปิดทองหลังพระ ไม่ประชาสัมพันธ์หรือแถลงข่าว ทำให้ถูกกล่าวหาต่างๆ นานา
อีกทั้งยังเห็นว่าเหตุการณ์ธรณีพิบัติสึนามิไม่ควรมีใครได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว หรือมีฝ่ายใดเสียประโยชน์ อยากให้ประชาชนเข้าใจว่า สตช.พยายามร่วมสามัคคีกับหน่วยงานอื่นที่ลงพื้นที่ช่วยผู้ประสบภัยจนตำรวจสากลมอบหมายให้ไทยเป็นศูนย์กลางการพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลแห่งเอเชีย มีที่ตั้งอยู่ภายใน สตช.ปฏิบัติภารกิจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคล และเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ให้กับประเทศเสี่ยงต่อการเกิดเหตุสึนามิ
จากนั้นคณะทำงานจัดงานแถลงข่าวได้ฉายวิดีทัศน์ เรื่อง “ ทำความจริงให้ปรากฏ” เนื้อหาในซีดีตอนหนึ่งระบุมาตรฐานการชันสูตรศพที่วัดย่านยาว อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ในความรับผิดชอบของ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ รองผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ไม่มีมาตรฐาน เช่น ใช้อาสาสมัครอายุ 14 ปี ทำหน้าที่ชันสูตรพลิกศพเพียงลำพังโดยไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และพนักงานสอบสวนกำกับ ถือว่าขัดต่อกฎหมายการชันสูตรศพที่เสียชีวิตโดยผิดธรรมชาติ อีกทั้งเอกสารใบชันสูตรศพก็ใช้กระดาษเปล่าขนาดเอ 4 โดยไม่มีแบบฟอร์มที่ถูกต้องให้กรอกรายละเอียด รายละเอียดบางศพมีข้อความเพียง 2-3 บรรทัด แตกต่างกันตามความรู้และประสบการณ์ ก่อนประทับตราลงลายมือชื่อของ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กำกับ ซึ่ง พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ถือว่าการชันสูตรสมบูรณ์ และส่งมอบให้ สตช. ซึ่ง สตช.เห็นว่าเป็นข้อมูลที่สูญเปล่า ไม่สามารถใช้อ้างอิงตามหลักสากลได้
นอกจากนี้ ที่วัดย่านยาวยังเน้นตรวจพิสูจน์จากดีเอ็นเอที่มีค่าใช้จ่ายสูง ไม่ตรวจพิสูจน์ลายนิ้วมือ โครงสร้างฟัน ตามหลักสากล พอศพเน่าสลายจะทำให้ยากต่อการตรวจพิสูจน์ใหม่ ส่งผลให้การส่งมอบศพคืนญาติผิดจำนวนมาก และขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการฟ้องร้อง
นอกจากนี้ยังพบว่า การส่งศพผู้เสียชีวิตคืนญาติด้วยคำยืนยันเพียงแหวนวงเดียวที่ญาติเห็นติดอยู่ที่นิ้วศพ ภายหลังกลับพบว่าเป็นการมาแอบอ้างของมิจฉาชีพเพื่อขอรับเงินช่วยเหลือจากทางราชการ และนำหลักฐานไปแสดงต่อศาลเพื่อขอให้เพิกถอนหมายจับ แต่ศาลพบพิรุธ เนื่องจากผู้ตายนับถือศาสนาคริสต์ แต่กลับนำศพไปเผา จึงประสานตำรวจช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริง และจากการตรวจสอบพบว่าผู้เสียชีวิตไม่ตรงกับที่มิจฉาชีพมาสวมรอยแอบอ้าง เพราะผู้เสียชีวิตเป็นชาวจีน สัญชาติเยอรมัน ในซีดียังระบุด้วยว่าการชันสูตรศพที่วัดย่านยาวของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญละเลยต่อมาตรฐานการชันสูตรพลิกศพ
ที่มา http://www.manager.co.th
หมอพรทิพย์อาฟเตอร์ช็อก
อยู่ดีๆสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ทักขึ้นมาว่า แบบฟอร์มที่ศูนย์ตรวจศพวัดย่านยาวใช้ไปกว่า 2,000 ศพใช้ไม่ได้ อ้างว่าตำรวจสากลจะไปเอาหลักฐานจากญาติผู้สูญเสียคนที่รักมาแมทช์กันได้อย่างไร ถ้าไม่ใช้แบบฟอร์มเดียวกัน
ปัญหาแค่นี้เมื่อเทียบกับสถานการณ์ความก้าวหน้าในการเก็บและตรวจศพที่คนไทยร่วมด้วยช่วยกันมาสองสัปดาห์อย่างน่าชื่นชมแล้ว แค่ตั้งสติทบทวนสักนิดว่าความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นมีมูลมาจากอะไร ก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ทางแก้ก็มีเกณฑ์ว่าจะรักษาคนดีที่ทุ่มเททั้งใจและกายทำงานเพื่อชาติอย่างไรมากกว่า ไม่ใช่มักง่ายออกมาสั่งโครมให้ล้มกระดาน
หมอพรทิพย์วันนี้กำลังตกอยู่ในสภาพเหมือนเจออาฟเตอร์ช้อกหลังเกิดคลื่นสึนามิ แต่คงเป็นเรื่องธรรมดา เราจึงต้องหันมาพูดความจริงกัน งานของหมอพรทิพย์ที่วัดย่านยาวเป็นรูปแบบที่ภาครัฐเองทำได้ยากยิ่งในการบริหารจัดการสรรพกำลังอาสาสมัคร หน่วยงาน องค์กร สถาบัน และองค์การต่างๆให้มีเอกภาพและประสิทธิผลในการทำงานให้เกิดผลกระทบข้างเคียงน้อยที่สุด จากภายในประเทศหมอพรทิพย์ก็มีทหารหมอจากกรมกองที่พังงามาช่วยถึง 130 นาย โรงพยาบาลจากมหาวิทยาภาครัฐหลายแห่งก็ออกไปช่วยเงียบๆ จากต่างประเทศหมอพรทิพย์มีผู้เชี่ยวชาญตรวจ ” เอกลักษณ์ ” นานาชาติ “ ดีวีไอ ” มาช่วยจัดระบบฐานข้อมูลศพและเชื่อมเครือข่ายกับทั่วโลก และเชื่อว่าคงไม่มีความแปลกแยกพิศดารที่องค์การตำรวจสากลให้ความร่วมมือไม่ได้ หมอพรทิพย์ยังได้โรงพยาบาลเคลื่อนที่มูลค่า 9 ล้านยูโร (ประมาณ 450 ล้านบาท) ที่รัฐบาลนอร์เวย์เพิ่งเอามาช่วยผ่าพิสูจน์ศพด้วยศรัทธาในตัวหมอพรทิพย์
หมอพรทิพย์ไม่ใช่คนงอมืองอเท้าหรือขาดจิตสำนึกรับผิดชอบ กอร์ปด้วยศักยภาพเฉพาะตัวจึงสามารถผ่านพ้นอุปสรรคไปได้อย่างดียิ่ง การที่หมอพรทิพย์ลงไปพังงานับศพทันทีก็เพื่อแข่งกับเวลาที่ศพจะเลอะเกินไปจนอาจเก็บและตรวจหาหลักฐานต่างๆไว้เทียบเคียงกับของญาติที่จะมาขอรับกลับไปไม่สะดวก การส่งเหยื่อ “ กลับบ้าน ” ก็จะลำบาก แค่การเริ่มต้นคิดและลงมือก็สำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว
หมอพรทิพย์เข้าใจได้ไม่ยากว่า ประชาชนเมื่อพบกับภัยแสนสาหัสจะเข้าใจความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเองได้รวดเร็วเสมอ และจะเห็นใจให้ไมตรีได้ดีกว่ารัฐ ที่รัฐทำเองไม่ได้หรือมาช้าก็ไม่เป็นไร ขอแต่อย่าซ้ำเติมทุกข์ของเขาที่สาหัสอยู่แล้ว
รัฐต้องป้องกันไม่ให้คนไม่ดีมาเสนอหน้าแก่งแย่งแข่งดีกันในจังหวะที่รัฐเริ่มยื่นมือเข้ามาช่วย และต้องพิจารณาข้อเท็จจริงจากข้อมูลเชิงประจักษ์ที่พบความแตกต่างว่า ทีมของ พล.ต.อ.นพดล สมบูรณ์ทรัพย์ ที่มีผู้เชี่ยวชาญจากเยอรมันและออสเตรียที่ภูเก็ตได้ช่วยให้ญาติมารับศพไปแล้ว 36 ราย ในขณะที่ทีมของหมอพรทิพย์รวบรวมศพเข้ากระบวนการส่งเหยื่อสึนามิ “ กลับบ้าน ” ได้ 5,000 กว่าศพ (เหลือที่ยังไม่ได้ตรวจดีเอ็นเออยู่ 2,300 ศพ) แต่หากไม่ถือว่าต่างคนต่างทำไปก็ไม่เป็นปัญหาอะไร คงไม่มีใครไปหาเรื่องว่าทำไมทีมแรกถึงละเลียดทำได้แค่ 36 ศพหรอก!
แต่เมื่อทีมที่ทำได้น้อยกว่าจมหูมาหาเรื่องอีกทีมว่าทำผิดฟอร์ม ใครว่าไม่ผิดปกติก็ควรไปพบจิตแพทย์ได้แล้ว
ดังนั้น เมื่อทางการลงความเห็นให้ย้ายศพทั้งหมดจากศูนย์วัดย่านยาวที่พังงาไปภูเก็ต ทุกอย่างก็รวน ศพส่วนใหญ่ที่ส่งมาจากเขาหลัก บ้านน้ำเค็ม และบ้านบางเหนียงกว่าครึ่งหมื่นในพังงาจะกลายเป็นปัญหาใหญ่หลวงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยไม่รู้ตัว อาจต้องมาเสียเวลาแปรเข้าระหัสของตำรวจสากลโดยไม่จำเป็น จะเกิดปัญหาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะใช้เธอในสถานะอันใดภายในสองสัปดาห์นี้ที่ภูเก็ต แทนที่จะให้เธอ “ ลุย ” ตรวจส่วนที่เหลืออีกครึ่งหรือ 2,300 ศพที่พังงาให้แล้วเสร็จไป
ประเด็นที่น่าพิจารณาก่อนจะทบทวนข้อสรุปเพื่อหาข้อยุติปัญหาทั้งหมดที่แจงมา น่าจะเป็นดังนี้
1. ถ้าหมอพรทิพย์ไม่ตามไปภูเก็ตก็มีเหตุผลที่เหนื่อยใจกับพวกที่ชอบเกาเหลา เอาแต่ราวี หน้าที่ของตัวเองก็มีอยู่แล้ว กลับถอย คอยจะชุบมือเปิบไม่เข้าเรื่อง
2. รัฐจะเกิดปัญหากำลังคนที่ภูเก็ต เพราะแม้หมอพรทิพย์จะไปช่วย รูปแบบความร่วมมืออย่างที่พบว่าหมอคือศูนย์ของศรัทธาอย่างที่พบที่พังงาก็จะไม่เหมือนเดิมที่ภูเก็ตแน่นอน
3. ถ้าหมอพรทิพย์ไม่ลาออกจากราชการตอนนี้ ก็ต้องได้รับคำสั่งให้ไปช่วยที่ภูเก็ต และหากหมอไม่ไป ก็เสี่ยงกับเจอ ” วินัย ” เสียรังวัดหนักเข้าไปอีก
4. ชาวบ้านที่พังงาอาจยอมสละหมอพรทิพย์ได้ แต่นั่นไม่เท่ากับที่ต้องพบความเจ็บปวดมากขึ้น เมื่อต้องเทียวไปเทียวมาพังงา-ภูเก็ต ตามหาศพของคนที่เขารักจนไม่เป็นอันทำมาหากิน
ความจริงแล้ว แบบฟอร์มขององค์การตำรวจสากลที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้ไปกับ 36 ศพขณะนี้ก็ไม่มีปัญหา แต่หากจะแปรระหัสดีเอ็นเอจากจำนวนไม่กี่สิบศพนี้ให้เข้ากับส่วนใหญ่ที่ทำเสร็จไปแล้วสองพันกว่าศพก็จะเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง หรือหาก พล ต.อ. นพดล จะทิ้งงานนี้ไปเลยในฐานะเจ้าภาพก็ไม่กระทบงานของหมอพรทิพย์ขณะนี้ แต่ถ้ามีน้ำใจ ก็แค่ก้มหน้าก้มตาเร่งมือทำงานให้มากขึ้น ทุกคนก็อภัยให้ได้
ส่วนที่นายกฯทักษิณบอกว่าทุกศพจากวัดย่านยาวต้องเอาไปภูเก็ต ไม่แยกศพเทศศพไทย ฟังอย่างไรก็ไม่เข้าใจ พูดผิดพูดใหม่ได้ ถึงวันนี้ ท่านมีข้อปรึกษาหารือกับนายกฯสวีเดน นอร์เวย์ ฟินแลนด์ หลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือสนับสนุนตั้งศูนย์เตือนภัยสึนามิ หรืออนุสรณ์สถานเอาไว้เตือนใจอนุชน ถ้าไม่ออกนอกลู่นอกทางจนเกิดสบสนในวาระของชาติ ก็จะเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสได้ ที่ทักเพราะเกรงท่านจะทำตรงกันข้าม
สำหรับหมอพรทิพย์ ไม่สำคัญว่าเธอต้องเป็นเจ้าภาพตรวจศพสึนามิหรือไม่ เพราะหมอทำบทบาทนี้ได้ “ สมยศสมศักดิ์น่ารักใคร่ ทีนี้ไม่อับอายขายหน้า ” ( ในสังข์ทองมีต่อว่า “ พระลูบหลังลูบไหล่ไปมา จูบซ้ายจูบขวาลูกข้างาม …) หรือใครจะไม่เห็นด้วยครับ
|